Saturday, April 25, 2009

การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส

ปัจจุบันนี้ในสังคมยุคใหม่ ผู้คนต่างพากันให้ความสนใจดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพของตนเอง และครอบครัวเชื่อว่ามีท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยมาตรวจร่างกาย ตรวจเช็กสุขภาพประจำปี ตั้งแต่การตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ การเจาะเลือด การตรวจเอกซเรย์ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจอัลตราซาวนด์ ฯลฯ หลายท่านก็ต้องการตรวจดูว่า ตนเองเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน ตับ ไต กระดูก ฯลฯ นอกจากนี้ หลายท่านก็มีความห่วงใย เอาใจใส่ต่อการดูแลสุขภาพทางด้านผิวหนังของตนเองอีกด้วย

มีคำถามบ่อยครั้งมาก จากการตรวจดูแลที่ตึกผู้ป่วยนอก และคำถามจากทางรายการวิทยุหลายรายการว่าทำอย่างไร หรือมีหลักการวิธีการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้สวยงาม ผ่องใส สดใส ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือจุดด่างดำต่างๆ หรือหายจากอาการคัน แผล พุพองต่างๆ ฯลฯ แสดงว่าปัจจุบันนี้หลายท่านได้ให้ความสนใจที่จะดูแลทะนุถนอมผิวพรรณของท่านให้สวยงาม แข็งแรง ไม่แพ้อวัยวะอื่นๆ ภายในร่างกายของท่านเองนะคะ ซึ่งมีหลักการง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส ท่านสามารถทำได้ไม่ยากเลย มีหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. ครีมถนอมผิว
2. ครีมกันแดด
3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว
4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน
6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

รายละเอียดมีดังนี้

1. ครีมถนอมผิว (Moisturizer, Emoillient)

ครีมที่ใช้ทาบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนใหญ่จะมีสารประกอบพวกยูเรีย กลีเซอรีน มิเนอรัลออยล์ เลซิทิน วิตามินอี ลาโนลิน ยูเซอริน ฯลฯ ใช้ทาเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้ง ไม่เหี่ยวเฉา

* ควรจะทาครีมหรือโลชั่นทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำหรืออาบน้ำนานมาก เพราะผิวจะแห้งมาก
* ไนท์ครีม น่าจะทาหน้าก่อนนอนเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าท่านชอบนอนห้องแอร์
* ถ้าต้องล้างมือบ่อย ควรทาครีมบำรุงผิวมือบ่อยๆ หลังล้างมือ
* ส่วนจะใช้ยี่ห้อไหนดี ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมาก ใช้ที่มีส่วนประกอบของสารข้างต้น ครั้งแรกลองใช้ทาเฉพาะที่ก่อน ถ้าทาไป 3-4 วัน แล้วไม่แพ้ก็ใช้ทาทั่วไปได้

2. ครีมกันแดด (Sunscreen)

* ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. เพราะแสงแดดช่วงเวลานี้ จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงมาก
* ควรสวมหมวกใบใหญ่ ปีกกว้าง ถือร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่นตากันแดด ถ้าท่านต้องตากแดดเป็นประจำ
* ทายากันแดดที่มี SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป
* ยากันแดดใช้ยี่ห้อไหนดี ถ้าท่านแพ้ง่าย ควรใช้ยากันแดดที่มีส่วนผสมของติเตเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้หลักการคล้ายกับการสะท้อนแสง ทาแล้วจะกันแดดได้ดีเพียงแต่ทาแล้ว อาจจะมีใบหน้าขาววอกไปหน่อย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีส่วนผสมของซินนาเมต ซึ่งก็ใช้ทากันแดดได้ผลดีเช่นกัน และหน้าไม่ขาววอกเกินไป
* ครั้งแรกที่ทายากันแดด ควรเริ่มทาที่บริเวณหน้าผากก่อน ทดลองทาดูประมาณ 3-4 วัน ถ้าไม่แพ้ วันหลังจึงทาทั่วใบหน้าได้นะคะ
* การทายากันแดด ควรทาประมาณ 1/2 ชั่วโมงก่อนออกไปตากแดด ถ้าต้องตากแดดทั้งวันตอนบ่ายควรทายากันแดดซ้ำอีก 1 ครั้ง

3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream)

ปัจจุบัน มีครีมที่ทำให้หน้าขาวใสขึ้น ไร้รอยเหี่ยวย่น ลบริ้วรอยต่างๆ ซึ่งมีมากมายหลายชนิด ถ้าท่านอยากให้หน้าใสขึ้นก็ใช้ทาได้ ถ้าไม่แพ้นะคะ ถ้าแพ้ระคายเคืองก็ต้องหยุดใช้ยายี่ห้อนั้นๆ ดังกล่าวที่ค่อนข้างใช้ได้ผลดี และไม่ค่อยแพ้ ไม่อันตรายจนเกินไป มักจะมีส่วนประกอบของสารสำคัญดังนี้ คือ

* กลุ่มกรดผลไม้ AHA
* กลุ่ม BHA
* กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoic acid)
* กลุ่มกรดอะเซเลอิค (Azeleic acid)
* กลุ่มอื่นๆ เช่น วิตามินซี กรดโคจิค สารสกัดมัลเบอร์รี่

ถ้าท่านผิวดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมที่ทำให้หน้าขาวนะคะ

4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

* กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ วันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ต่างๆ น้ำชา กาแฟ มากเกินไป ไม่ดีนะคะ
* อย่าทำงานหนักเกินไป อย่าเครียดงานมากเกินไป ถ้าท่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน จะเกิดร่องรอยตีนกาชัดเจนมากขึ้น อย่างรวดเร็วมาก
* ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วแต่บุคคลและวัยนะคะ
* ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน

น้ำที่ร้อนจัดเกินไป หรือน้ำอุ่นแต่อาบน้ำนานมาก จะทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป ถ้าอาบเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองคันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเป็นโรคผื่นแพ้คันอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นมากจนเกินไปนะคะ

* หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่นนานๆ บ่อยๆ
* หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ
* อย่าอบไอน้ำ อบตัวด้วยความร้อน อบเซาว์น่า บ่อยๆ จนเกินไปหรือนานเกินไป

6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

* ท่านที่ชอบการขัดหน้า นวดหน้า พอกหน้า หลายๆ รูปแบบนั้น จะยิ่งมีโอกาสเกิดการระคายเคืองได้ง่าย หน้าจะยิ่งบางลง และไวต่อแสงแดดมากขึ้น มีโอกาสเกิด ฝ้า กระ สิว ได้มากขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นแล้ว ยังเสียเวลาและเสียดายใบหน้าอีกด้วยนะคะ
* การขัดตัว การที่ท่านไปขัดตัวตามสถานที่ต่างๆ หรือซื้อฟองน้ำ ใยบวบหรือหินขัดต่างๆ มาขัดด้วยตนเอง พอกสารหลายอย่าง แล้วขัดถูตัวกันอย่างจริงจังนั้น เป็นการทรมานผิวหนังของท่านมากจนเกินไปนะคะ คิดดูซิคะว่า ผิวหนังจะสกปรกอะไรกันนักหนา ถึงต้องขัดตัวขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอาบน้ำฟอกสบู่เบาๆ ใช้แค่สบู่เด็กอ่อนๆ ถูเบาๆ ก็เพียงพอแล้วนะคะ

ที่กล่าวมาแล้ว ทั้ง 6 ประการนี้ ก็เป็นหลักการง่ายๆ ซึ่งทำได้ไม่ยาก เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส เท่าที่จะทำได้ตลอดไปนะคะ ขอให้ท่านผู้อ่านใกล้หมอทุกท่านจงมีสุขภาพผิวที่ดีนะคะ

พญ.วิญญารัตน์ ตันศิร

วิตามินอี - สารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพผิว

สารอาหารต่อไปนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในแต่ละวันเราต้องได้รับสารอาหารเพื่อเข้าไปช่วยสร้างความเจริญเติบโต และสร้างภูมิต้านทานโรคอย่างเพียงพอ เมื่อสุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดีไม่มัวหมองก็ย่อมส่งผลให้ผิวพรรณผ่องใส เปล่งปลั่ง มีสุขภาพดี เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวทำลายเซลล์ผิวหนังอันทำให้เกิดความชรา เกิดริ้วรอย และผิวหนังเหี่ยวย่นไม่เปล่งปลั่ง ขาดความนุ่มนวลและเรียบเนียน

กลุ่มของวิตามิน วิตามินอี

วิตามินอี เป็นสารอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ้งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ บรรเทาอาการปวดกระดูกและข้อได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์เป็นปกติ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว เพิ่มพลังให้แก่กล้ามเนื้อ สร้างภูมิคุ้มกันโรค ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น กระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวหนังใหม่ ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ขจัดรังแค ลดริ้วรอยฝ้า กระ อาการร่วง และรักษาแผลเป็นให้นุ่มลง หากร่างกายได้รับวิตามินอีไม่เพียงพอจะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เม็ดเลือดแดงแตกตัวง่าย จะพบมากใน มะม่วง น้ำมันถั่วเหลือง ผักใบเขียว กีวี ถั่ว น้ำมันพืช เป็นต้น

5 กุญแจสำคัญสู่สุขภาพผิวดี

การดูแลสุขภาพผิวพรรณเป็นสิ่งจำเป็น เพราะผิวพรรณเปรียบเสมือนด่านหน้าที่จะช่วยตัดสินความมีสุขภาพดีของเราได้ ต่อไปนี้เป็นหลักการโดยทั่วไปที่จะช่วยให้มีผิวพรรณที่ดีอยู่เสมอ

  1. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อผิวมากกว่าเครื่องสำอางใดๆ ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณอย่างถูกต้อง เช่น

    อาหารอุดมวิตามินเอ
    เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย


    อาหารอุดมด้วยวิตามินบี
    เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ


    อาหารอุดมด้วยวิตามินซี
    เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน


    อาหารอุดมด้วยวิตามินอี
    เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น


    น้ำมันปลา
    ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี


    ดื่มน้ำให้ได้วันละ
    2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

  1. ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ แม้อารมณ์จะมีความสำคัญโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น
  3. ออกกำบังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด
  4. ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

การดูแลผิว แบบง่ายๆ

คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณมีสภาพผิวอย่างไร เช่น มีผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามสภาพผิว ซึ่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานนั้นสำคัญที่สุด มี 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นตอนแรกคือ คลีนซิ่ง หรือการทำความสะอาด อันนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลผิว เลยกว่าได้ เพราะหากเราไม่ทำความสะอาดผิวให้ดีพอ จะทำให้สิ่งสกปรกตกค้างภายในรูขุมขน และเกิดการอุดตัน จนเป็นสิวได้หรืออาจเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน

เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอย่างไร ถึงจะดี?

ขั้นตอนที่ 1 การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดง่ายมาก

ถ้าคุณแต่งหน้าเยอะควรใช้คลีนซิ่ง ครีม, คลีนซิ่ง โลชั่น หรือคลีนซิ่ง เจล เพราะจะช่วยขจัดเมกอัปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณผิวมัน แต่งหน้าเยอะเลือกใช้คลีนซิ่งชนิดโลชั่น หรือเจล หากผิวแห้งแต่งหน้าเยอะก็เลือกใช้ชนิดครีมค่ะ อย่าลืมใช้คลีนซิ่ง โฟม ด้วย เพราะโฟมจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ติดค้างภายในรูขุมขนอีกครั้งหนึ่ง
การดูแลผิว
ขั้นตอนที่ 2 โลชั่นปรับสมดุลผิว

ขั้นตอนนี้คนส่วนใหญ่มองข้ามไปเลย เพราะนึกว่าไม่สำคัญ ล้างหน้าเสร็จปุ๊บ ตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เลย ซึ่งถือว่าเป็นเข้าใจผิดอย่างมหันฑ์ เพราะขั้นตอนการใช้โลชั่นปรับสมดุลผิวนี้จะช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ไม่แห้งตึง หลังการล้างหน้า ช่วยกระตุ้นการซึมซาบของ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ลงสู่ผิวอย่างมีประสิทธิภาพ หลังการเช็ดโลชั่น ที่ผิวหน้ายังสามารถเช็ดบริเวณลำคอ หลังมือ ข้อศอกเพื่อให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้นได้อีกด้วยค่ะ เรียกว่าใช้ได้หลากหลายวัตถุประสงค์

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดูแลผิว และเปรียบเสมือนเสื้อคลุมปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คงความชุ่มชื่นให้ผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น


เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดอย่างไรให้เหมาะกับผิวคุณ?

ก่อนอื่นต้องเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด ที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ทั้งสองแบบ เหตุผลก็คือจะสามารถป้องกันทั้งการเกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ ที่เกิดจากรังสี UVB และป้องกันการเกิดริ้วรอย ที่เกิดจากรังสี UVA และแนะนำให้ดูว่า หน้ากล่องจะระบุคำว่า SPF นั่นคือ ค่าป้องกันรังสี UVB หากปกป้องระหว่างวัน เลือก SPF 15 ขึ้นไป และคำว่า PA ค่าในการป้องกันรังสี UVA ที่ระบุด้วยเครื่องหมาย + ถ้าเห็นว่า มี +++ แสดงว่าให้การป้องรังสี UVA อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ขอแนะนำว่า (สำหรับอากาศในเมืองไทย ที่มีแต่ร้อน และร้อนที่สุด ควรเลือก SPF 30 และ PA ++)

สำหรับการปกป้องระหว่างวัน และหากออกแดดจัด ก็เลือกประมาณ SPF 50 PA+++ ก็ดีเลยค่ะ แต่อย่าไปเลือกที่มีค่า SPF สูงมากเกินไป เพราะค่าในการป้องกันแดดแทบจะไม่แตกต่างกันเลย แถมอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่สบายผิวด้วยค่ะ

สาวผิวมัน เลือกใช้กันแดดชนิดโลชั่นนะคะ แต่สาวผิวแห้ง เลือกใช้แบบครีมจะดีกว่า ค่ะ เพราะจะให้ความชุ่มชื้นสูง ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์กันแดด ที่ให้การปกป้องและฟื้นฟูผิวไปพร้อมๆ กัน ทำอย่างไรไม่ให้ฝ้ามาเยือนใบหน้า

ใส่ใจผิวคุณซักนิด

1.ล้างเครื่องสำอางค์

ล้าง เครื่องสำอางค์ทุกครั้งก่อนเข้านอน อย่าหลับทั้งๆที่เครื่องสำอางค์ยังติดผิวหน้าอยู่ มันจะสะสมและทำให้ผิวเป็นสิว

2.ขัดผิว

สัปดาห์ ละ 1-2 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่ก็มีบางกรณีที่ห้ามขัดหน้าเด็ดขาดถ้าคุณกำลังผิวไหม้เพราะแดด หน้าคุณจะเยินไปกันใหญ่

3.ล้างหน้า

เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าต้องดูดีๆ ที่สำคัญหลังล้างหน้า ผิวจะต้องนุ่มและไม่มัน ไม่ใช่แห้งตึง

4.ทาครีมกันแดด

ทาม อยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีค่าSPF ไม่ต่ำกว่า15ตอนเช้าทุกวัน หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดช่วง 10.00-16.00เพราะจะเป็นช่วงที่มีแดดจ้ามากที่สุด และอย่าลืมทาครีมกันแดดค่าSPF ไม่ต่ำกว่า25ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่ายน้ำ ทาซ้ำทุกๆ90นาที

5.อย่าเครียด

เพราะ ความเครียด เป็นสาเหตุหนึ่งของสิว เมื่อไรที่คุณเครียด คุณควรหาวิธีดับเครียด อาจจะด้วยการออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะสูดอากาศสดชื่นซัก10นาทีก็พอแล้ว

6.ดื่มน้ำเปล่า

คุณสามารถคำนวณปริมาณที่คุณต้องดื่มในแต่ละวันได้โดยการเอาน้ำหนักตัวหารด้วย8

7.สิวขึ้น

อย่า บีบแกะสิวเด็ดขาด ทาครีมทาสิวทิ้งไว้ก่อนนอน หรือคุณอาจใช้ยาสีฟันแต้มไว้ แล้วตอนเช้าค่อยมาล้างออกก็ได้ เป็นวิธีรักษาสิวที่สามารถเซฟเงินคุณได้เยอะ

8.ทานอาหาร

ทาน อาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานผักผลไม้เยอะๆ อย่าพยายามลดความอ้วนด้วยการอดอาหารเด็ดขาด คนฉลาดเขาจะใช้วิธีออกกำลังกายกัน ถึงมันจะให้ผลช้าแต่ก็ให้ผลดีต่อตัวเองในระยะยาว และไม่ทำให้ผิวย่นเนื่องจากการลดความอ้วนอย่างหนักด้วย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ผิวคุณกระชับเต่งตึงไปในตัว

การป้องกันและรักษาสิว

สาเหตุ

คนส่วนใหญ่มักจะเป็นสิวตอนอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็เนื่องมาจากในช่วงวัยรุ่น ต่อมไขมันจะขยันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ส่งผลให้หน้ามันและอุดตันรูขุมขน

การป้องกัน

1.อย่าลืมล้างเมคอัพก่อนเข้านอน เด็ดขาด !!!
2.รักษาใบหน้าให้สะอาดเสมอ
3.ล้างหน้าวันละประมาณ 2-3 ครั้ง การล้างหน้าบ่อยเกินไปไม่ทำให้หยุดเป็นสิว แต่จะทำให้แพ้และสิวก็ขึ้นมามากกว่าเดิมอีก แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ผิวสกปรกเกินไป
4.อย่าเครียด ความเครียดน่ะเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวเชียวนะ
5.ไม่มีคำยืนยันที่แน่นอนว่าขนมหวานๆจำพวกช็อคโกแล็ตนั้น มีผลต่อการเป็นสิวหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือ ช็อคโกแล็ตทำให้เราอารมณ์ดี ไม่เครียด เพราะงั้นก็กินไปเถอะ

การรักษา

1.ยาใช้รักษาสิวจะเป็นพวกกรดวิตามิน เอ ในกรณีนี้จะใช้ในคนที่เป็นสิวไม่หายและต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์เท่านั้น ห้ามใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด เพราะอาจเป็นอันตราย หน้าจะพังเปล่าๆ อย่าเลย ถึงอยากจะให้หายเร็วขนาดไหนก็เถอะ มันไม่คุ้มกันหรอกนะ
2.อย่าพยายามแต่งหน้าให้หนาเกินไปนักถ้าไม่จำเป็น ในช่วงเป็นสิวคุณควรแต่งหน้าแบบบางเบาประมาณว่าดัดขนตา ทาลิปกลอสพอ หรืออาจไม่แต่งเลย แต่ถ้าคุณเป็นสาวทำงานต้องสวยอยู่เสมอ ก็อย่าลงรองพื้นหนานัก มันจะหนักหน้า ทำให้เป็นสิว และยังเกิดรอยย่นได้ง่ายๆอีกด้วย
3.ในกรณีที่คุณมีสิวเสี้ยน วิธีนี้อาจช่วยคุณได้ ใช้ไข่ขาวพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก
4.ทาครีมหรือเจลรักษาสิวที่มีส่วนผสมจำพวก ซาลิไซลิก แอซิด

6 วิธีดูแลผิวให้นุ่มเนียนและกระชับ

เรามาลองวิธีที่ทำให้ สวย เด้ง ตึง ได้ทุกสัดส่วนง่ายๆ ดังนี้

1. ลอก
การลอกผิวจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และยังช่วยสลายไขมัน คุณสามารถจะลอกผิวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยนำเกลือทะเลผสมน้ำมันมะกอกมานวดขัดผิว โดยเฉพาะบริเวณผิวที่มีเซลลูไลต์ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. ขัด
การขัดผิวเบาๆ โดยใช้แปรงนุ่มๆ หรือใยบวบที่แช่น้ำให้นิ่ม จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ
ทั่วถึง และยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกได้หมดจด เวลาที่เหมาะที่สุดในการขัด คือขณะฟอกสบู่ อาบน้ำ

3. ห่อ
หมั่นนำพลาสติกใสๆ บางๆ มาพันต้นขาให้กระชับเพรียวสวย
โดยเริ่มจากลงไปแช่น้ำอุ่น จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง นำผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนที่ผสมน้ำมันหอม (กลิ่นมะนาวหรือโรสแมรี่) บิดให้แห้งพอหมาดแล้วนำมาพันต้นขา จากนั้นจึงพันด้วยแผ่นฟิล์มแล้วทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง

4. ดัน
เป็นการบริหารที่ควรทำทุกวันเพื่อให้ช่วงอกสวย
ประกบฝ่ามือทั้งสองไว้กลางหว่างอก (เหมือนการไหว้) เกร็งและดันฝ่ามือทั้งสองซึ่งกันและกัน ค้างไว้ 10 นาที แล้วทำซ้ำ 5 ครั้ง

5. กลิ้ง
การนวดโดยใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งไปบนผิว จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตมาเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ควรจะนวดหมุนเป็นวงกลม เริ่มจากขา แขน แล้วปิดท้ายด้วยบริเวณ ช่วงลำตัว

6. ดึง
ใครที่มีไขมันสะสมใต้ผิวหนังตรงสะโพก หรือแก้มก้นมากเกินไป
อาจลดได้ด้วยวิธีใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือดึงผิวหนังให้ทั่วทั้งบริเวณสะโพก หมั่นทำเป็นประจำ วันละ 10 นาที ผิวแตกลายจะจางลง

5 สูตรดูแลผิวจาก "เกลือ"

เกลือ...เค็ม แต่ดี


ไม่ใช่โฆษณาขายสินค้าใดๆ แต่เกร็ดสุขภาพฉบับนี้มีเคล็ดลับเพื่อความงามจากเครื ่องปรุงในครัวอย่าง "เกลือ" มาฝากหนุ่มๆ สาวๆ ผู้รักผิวพรรณ ดังนี้ค่ะ

1. ลดรอยช้ำรอบดวงตา ด้วยวิธีง่ายๆ

โดยผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อน 1/2 ถ้วย ใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือ ปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆ จางลง

2. ลดความมันบนใบหน้า

โดย เริ่มจากใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดมาอังปิดหน้า ไว้สัก 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนก่อน แล้วจึงค่อยใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำ ใส่ขวดสเปรย์ฉีดพ่นน้ำผสมเกลือให้ทั่วใบหน้า จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง

3. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ

โดย ใช้เกลือ 1/2 ถ้วยผสมลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง แล้วทาโลชั่นให้ทั่วร่างกาย เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

4. ขัดผิวให้สวยใส

โดย ใช้เกลือผงถูตัว แล้วใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่ว จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมา ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายด้ วย

5. ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่เท้า

โดยผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น แล้วแช่เท้าทั้งสองข้าง ช่วยให้รู้สึกคลายความเมื่อยล้าได้

แล้วต่อไปหากคุณจะมีขวด "เกลือ" สักขวดไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งคงไม่ผิดแล้วล่ะค่ะ

ดูแลผิวอย่างถูกวิธี


ใครก็อยากมีผิวสวยเนียนใสไร้ริ้วรอยด้วยกันทั้งนั้น แต่ใช่ว่าจะมีกันได้ง่ายๆ ผู้ที่มีผิวดีอยู่แล้วก็นับว่าเป็นโชค เพราะปัจจัยที่ทำให้ผิวแต่ละคนแตกต่างกันและไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงได้ คือ พันธุกรรม ซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะของผิวแม้ว่าจะใช้ครีมราคาแพง หรือยาดีแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนลักษณะพันธุกรรมที่มาจากพ่อแม่ได้ ความเครียดก็เป็นตัวอันตรายเช่นกัน เพราะทำให้ผิวแห้งหมองคล้ำ หรือเกิดสิวปะทุขึ้นได้ถ้าเป็นคนผิวมัน


เคล็ดลับการมีผิวสวย
การมีผิวสวยอยู่ที่การดูแลรักษาด้วยการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จำไว้ว่าการมีผิวที่ดีนั้น ไม่ใช่การทาครีมอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันด้วย เช่น แสงแดดและการสูบบุหรี่ ทำให้ผิวแก่ก่อนวัยเร็ว ดังนั้นจึงควรเริ่มเอาใจใส่ผิวตั้งแต่วันนี้ ด้วยการส่องกระจกแล้วสังเกตุว่า เกิดอะไรขึ้นกับผิวบ้าง การเปลี่ยนแปลงของผิวในแต่ละช่วงเป็นอย่างไร เช่น ช่วงหน้าร้อน จะเห็นว่าพื้นผิวด้านบนแห้งแต่ลึกลงไปในผิวด้านล่างจะมัน เนื่องจากการอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นประจำนั่นเอง ส่วนหน้าหนาวหรือช่วงที่ต้องเดินทางบ่อยๆ โดยเครื่องบินมีโอกาศที่ผิวจะแห้งมาก ดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นประจำทุกวัน เพราะสภาพผิวสามารถแปรเปลี่ยนได้ตามสภาวะแวดล้อม ลองสังเกตว่าในแต่ละวันผิวต้องการอะไร เพื่อการบำรุงอย่างเต็มที่ ลองทบทวนขั้นตอนการดูแลผิวง่ายๆ อย่างถูกวิธีดังนี้

ทำความสะอาด
ถ้ามีผิวแห้งหรือแพ้ง่ายควรล้างด้วยเคลนเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวอย่างโลชั่นหรือเจล ส่วนผิวมันจะเป็นสิวง่าย เลือกเคลนเซอร์ที่อ่อนโยนและผลิตขึ้นสำหรับผิวประเภทนี้โดยเฉพาะ จากนั้นเช็ด้ดวยโทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ แต่สามารถเลือกใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของเอเอชเอได้ ซึ่งจะช่วนในการผลัดเซลล์ผิวให้มีผิวเรียบเนียนสดใส เพื่อเตรียมการบำรุงต่อไป

ขัดผิว
ควรขัดผิวสัปดาห์ละครั้ง เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตามแล้วออกไป ด้วยการเลือกสครัปที่อ่อนโยน นุ่มละเอียดไม่มีความคม ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แต่คนผิวมันควรจะขัดผิวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเน้นบริเวณจมูกและคางเนื่องจากเป็นส่วนที่มีสิวอุดตันมาก

ให้ความชุ่มชื่นผิว
คนผิวแห้งควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความเข้นข้นสูง ซึมซาบสู่ผิวได้ง่าย สำหรับยามค่ำคืนเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีเนื้อเข้มข้น เพื่อให้ความชุ่มชื่นผิวอย่างเต็มที่ ยิ่งถ้ามีจุดที่แห้งมากลองใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของเอเอชเอทาให้ทั่ว แล้วจึงทาครีมให้ความชุ่มชื่นอีกครั้ง จำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องทาครีมทุกๆ จุดของใบหน้า เพราะบางครั้ง เราอาจมีผิวบางบริเวณ จมูก คาง หรือข้างแก้มที่ค่อนข้างมัน ก็อาจทาครีมบริเวณนั้นให้น้อยลง หรือเลือกใช้ครีมสำหรับผิวมันในบริเวณนั้นแทนจะดีกว่า คนผิวมันควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลหรือชนิดที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำมัน (oil-free) หรือชนิดที่ช่วยควบคุมความมัน (Mattifying Cream) โดยทาทิ้งไว้สักพักก่อนแต่งหน้า เพื่อให้ครีมซึมซาบสู่ผิว จะช่วยให้แต่งหน้าได้เนียนเรียบยิ่งขึ้น

ไม่ควรใช้มือแตะบนใบหน้าระหว่างวัน
บางครั้งเราอาจใช้มือแตะต้องบางส่วนบนใบหน้าโดยไม่ตั้งใจ อาทิ การเท้าคาง การแกะเกา ซึ่งนอกจากจะทำให้เมกอัพลบเลือนแล้ว ยังไปเพิ่มน้ำมันและสิ่งสกปรกบนผิวหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวได้

ล้างเมกอัพอย่างหมดจด
หลังจากทำงานมาทั้งวัน ควรทำความสะอาดใบหน้าทั้งหมดอีกครั้ง เริ่มด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรอบดวงตาก่อน เลือกที่ไม่มีความมันมากนัก ด้วยการหยดบนสำลีที่สะอาด เพื่อล้างคราบมาสคาร่า อายไลเนอร์และอายแชโดว์ให้สะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใช้ชนิดกันน้ำควรทิ้งไว้สักครู่ จึงเช็ดออก เนื่องจากชนิดที่มีความมันมากๆ ทำให้ล้างยากขึ้นไปอีก เมื่อเช็ดรอบดวงตาเสร็จแล้ว ใช้เคลนซิ่งเจลหรือโลชั่นคลึงทั่วใบหน้า เพื่อล้างคราบเมกอัพที่หลงเหลืออยู่ สุดท้ายใช้ก้านสำลีคอดตอนบัตชุบครีมทำความสะอาด ค่อยๆเช็ดอย่างเบามืออีกครั้ง บริเวณขนตาเพื่อล้างคราบมาสคาร่าที่อาจหลงเหลืออยู่ให้สะอาดหมดจดอีกครั้ง

อย่าทำตัวเป็นหมอเสียเอง

เมื่อเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้นกับผิว และไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองอย่างง่ายๆได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้

10 เทคโนโลยีสุดฮิตเพื่อผิวสวย

ไอพีแอล (IPL)

เสียเวลาไม่ถึงชั่วโมงแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือผิวหน้าที่สดใส อ่อนเยาว์ขึ้น คนที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยเล็กๆ อย่างไฟน์ไลน์ (fineline) ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดง หรือรอยดำจากสิว นอกจากนี้ การใช้พลังงานแสงเข้มข้นสูงของไอพีแอลจะช่วยได้ดี ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนัง เพราะฉะนั้นคนที่มีปํญหาเรื่องรูขุมขนกว้างจึงพึ่งพาเทคโนโลยีนี้ได้เช่นกัน ข้อดีก็คือ ไม่เจ็บและไม่มีแผล โดยทั่วไปหลังการักษาเพียงครั้งเดียว คนไข้จะรู้สึกว่าผิวเรียบขึ้น และหลังการรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง รูขุมขนจะกระชับขึ้น ริ้งรอยเล็กๆ ค่อยๆ หายไป จุดด่างดำและรอยแดงบนใบหน้าก็จะค่อยๆ ดีขึ้น สีผิวสม่ำเสมอเรียบเนียนสดใสอย่างเห็นได้ถึงความแตกต่าง

เทอร์มาจ (Thermage)

กระบวนการดูแลผิวที่จะช่วยยกรูปหน้า ยกคิ้ว รอยย่นใต้ตา รอยย่นใต้คอ ทำให้ผิวยืดหยุ่นดีขึ้น เป็นการฟื้นฟูผิวให้กระชับโดยการส่งผ่านพลังงานความร้อนจำนวนหนึ่งเข้าไปยังคอลลาเจนที่อยู่ใต้ชั้นผิว โดยที่ผิวชั้นนอกก็ยังได้รับการปกป้องด้วยความเย็น ไม่เผาผิว ซึ่งการส่งผ่านพลังงานความร้อนเข้าไปยัง ชั้นใต้ผิวนี้จะช่วยกระตุ้นให้โครงสร้างชั้นใต้ผิวเกิดการหดตัวและกระชับขึ้นในทันที เมื่อทำหลายๆ ครั้ง คอลลาเจนที่ฟื้นฟูใหม่ก็จะช่วยก็จะช่วยสร้างผิวให้แน่นกระชับ นุ่มเนียน ผลที่ปรากฏก็คือ ผิวสุขภาพดีและดูอ่อนวัยนั่นเองค่ะ ทำแค่ครั้งเดียว และหลังจากนั้นประมาณ 2-6 เดือน ผิวจะค่อยๆดีขึ้น จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ว่าผิวกระชับขึ้น ในบางรายก็อาจจะเห็นผลเร็วกว่านั้น ที่สำคัญก็คือผลของมันจะอยู่ได้นาน 1-2 ปีเลยทีเดียว วิธีนี้จึงเป็นที่นิยมเพราะทำง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ที่สำคัญคือไม่ต้องทำบ่อยๆ และไม่เหมือนกับการทำเลเซอร์ทั่วไป ที่หลังจากทำแล้วต้องหลบแดด หรือว่าทำกิจกรรมที่เคยทำไม่ได้ แต่เทอร์มาจสามารถทำกิจกรรมทุกอย่างได้ตามปกติหลังการทำ

ไมโครเดอมาเบรชั่น (Microdermabrasion)

วิธีนี้เป็นการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี เป็นวิธีการรักษาที่ใช้กันแพร่หลายและได้ผลดีในยุโรปและเอเชีย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากมีผิวพรรณสดใส ขาวเนียนเรียบมากขึ้น โดยเฉพาะผิวมีสิว แผลเป็น และจุดด่างดำ ผิวแพ้สารเคมีและเครื่องสำอาง สามารถช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นได้ เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ ขั้นตอนการรักษาใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ทำสัปดาห์ละครั้ง นาน 2-12 สัปดาห์จะเห็นผลดีมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของผิวที่ต้องการจะรักษาด้วย ทั้งนี้การทำ ‘ไมโครเดอมาเบรชั่น’ หลายๆครั้งจะได้ผลดี ใกล้เคียงกับการทำ "Medium peels" ในการรักษาแผลเป็น แต่จะโอ่นโยนต่อผิวมากกว่า เพราะไม่ทำให้ผิวเป็นแผล และยังไม่มีปัญหาเรื่องผิวแดง ผิวดำ หลังการรักษาด้วย

กาแลกซี่ โฟโต้ เฟเชียล (The Galaxy FotoFacial RF™)

เป็นวิธีใหม่มาแรงในการเผยผิวใส ตึงกระชับด้วยเลเซอร์ Galaxy FotoFacial RF™ ขั้นตอนเดียวที่ผสาน 4 พลังแห่งการฟื้นฟูผิวพรรณจากภายในด้วยวิธีการอันอ่อนโยน มิติที่หนึ่ง IPL พลังงานแสง ความเข้มข้นสูง อันทรงประสิทธิภาพที่ทุกคนรู้จัก IPL จะเข้าลบเลือนจุดด่างดำ รอยแดงจากสิว กระชับรูขุมขน ลบริ้วรอยแห่งวัย เพิ่มความขาวใสให้แก่ผิวพรรณ มิติที่สอง RF เทคโนโลยีเพื่อผิวยกกระชับที่ได้รับการพิสูจน์จากวงการแพทย์ทั่วโลกแล้วว่า สามารถยกกระชับโครงสร้างผิวพรรณที่หย่อนคล้อยจากภายใน ให้กลับมาเต่งตึงดังเดิม มิติที่สาม Diode Laser เสริมสร้างอิลาสตินและคอลลาจนใต้ผิว มิติที่สี่ Heat ช่วยกระตุ้นการหดกระชับของโครงสร้างผิว คืนชีวิตชีวาและปรับกลไกให้ผิวจากภายใน เรียกว่าคืนความอ่อนเยาว์ ให้กับผิวอย่างมีประสิทธิภาพ กว่าที่เคยเลยทีเดียว

เครื่องกำจัดขนถาวร (Permanent Hair removal)

วิธีนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้รักความสวยความงาม โดยเฉพาะคนในแวดวงบันเทิง อย่างดาราหรือนางแบบ การกำจัดขนถาวรด้วยแสงเลเซอร์นี้ สามารถผ่านเข้าไปทำลายรากขนใต้ผิวหนังให้หลุดร่วงอย่างถาวร โดยไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ และไม่เกิดรอยแผลเป็น ผิวยังคงเรียบเนียน และสวยกว่าที่เคย จนพร้อมเปิดเผยผิวเนียนใสได้ทั่วเรือนร่าง

แอลอีดี (LED-Light Emitting Diode)

เทคโนโลยีการลดริ้วรอยล่าสุด ที่ถือเป็นขวัญใจของผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่ชอบความยุ่งยากในการดูแลรักษาผิว ด้วยหลักการทำงานที่รวดเร็วมาก คล้ายกับการยิงบาร์โค้ดลงบนผิว เป็นการส่งผ่านพลังงานแสงลงไปใต้ผิว เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนอย่างตรงจุด เป็นวิธีที่ไม่ต้องทายาชา สามารถฉายแสงได้เลย โดยใช้เวลาประมาณ 35 วินาทีเท่านั้น ผลที่ได้รับคือ ผิวสวยขึ้น ดูกระจ่างขึ้น ริ้วรอยลดลง และมีความยืดหยุ่นของผิวดีขึ้น และเห็นผลลัพธ์หลังการทำได้ในเวลาที่รวดเร็ว

โบท็อกซ์ (Botox)

เทคโนโลยียอดนิยมสำหรับลบริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะรอยย่นบนหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว ริ้วรอยรอบดวงตา และรอยตีนกาอันไม่พึงประสงค์ ด้วยการฉีดสารเคมีที่ชื่อ "โบทูลินัม ท็อกซิน" ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่สกัดจากแบคทีเรีย และได้รับการยอมรับจาก FDA ให้ใช้ในการรักษาริ้วรอย การทำงานของโบท็อกซ์ก็คือ เมื่อถูกฉีดเข้าไปในผิวแล้ว จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณ ที่มีการหดเกร็งจนเกิดเป็นริ้วรอยถาวร เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณนั้นคลายตัว ก็จะส่งผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และไร้ริ้วรอย ผลของการทำจะอยู่ได้นานราว 3-6 เดือน ข้อดีคือใช้เวลาในการรักษาไม่นาน ไม่เจ็บปวด ไม่ต้องพักรักษาตัว และไม่ก่อให้เกิดรอยแผลเป็นด้วย

ผลัดผิวด้วยเอเอชเอ (Alpha Hydroxy Peels)

การผลัดผิวด้วยกรดเอเอชเอ ยังคงอยู่ในความนิยมไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ยังไม่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยลึก และความหย่อนยานของผิวมากนัก และยังเป็นวิธีทำ "หน้าใส" ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซ่อมแซมผิวสวย ในเรื่องริ้วรอยเล็กๆ จุดด่างดำ และผิวหมองคล้ำไม่สดใสอย่างรวดเร็วทันใจ

คาร์บอกซี่เทอราพี (Carboxytherapy)

เป็นเทคโนโลยีมาแรงในการกำจัดเซลลูไลท์ เพราะเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็วทันใจ ไม่ยุ่งยาก และไม่เจ็บตัว เป็นการลดสัดส่วนด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสามารถ สลายไขมันเฉพาะจุด ขจัดผิวส้ม ไม่ว่าจะเป็นน่อง ท้องแขน ต้นขา สะโพก หรือหน้าท้อง ได้เป็นอย่างดี วิธีนี้ทำได้ง่ายมาก ไม่ต้องฉีดยาชา ไม่ต้องพักฟื้น ด้วยการปล่อยก๊าซผ่านเข็มขนาดเล็กจิ๋ว เข้าไปใต้ผิว ในปริมาณที่เหมาะสม การทำต่อครั้งใช้เวลาประมาณเพียง 15-30 นาที ควรทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ประมาณ 5-10 ครั้ง และเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อทำติดต่อกัน 3-5 ครั้ง

ไอเคลียร์ (I Clear – Acne Solution)

นวัตกรรมการรักษาสิวที่ตรงจุดมากที่สุด ด้วยพลังงานแสงที่ปลอดภัยต่อผิวบอบบาง หรือที่เรียกกันว่าเทคโนโลยีแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นการฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อ และลดการอักเสบของสิวได้ทันทีกว่า 70% และยังช่วยลดแบคทีเรีย p.acnes อันเป็นสาเหตุหลัก ของการเกิดสิว ผลลัพธ์รวดเร็วกว่าการรักษาทั่วไป อย่างการทาครีมหรือยาต่างๆ ถึง 3 เท่า ไม่ต้องทานยาแก้สิวที่อาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกายได้

ขอขอบคุณ ข้อมูลจากนิตยสาร Hi Magazine (Volume 4, Issue 4, December 2005)

โดยแพทย์หญิงนันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ

"คอลลาเจน"เทรนด์ Beauty "ดื่ม"ให้สวยใสแบบคนรักผิว


คอลลาเจน ที่เคยเป็นจุดขายของสินค้าเพื่อความงาม แต่หลัง Beauty Trend เป็นกระแสฮิตตามติดเทรนด์สุขภาพ หมวดเครื่องดื่มทั้งนม น้ำผลไม้ ชาเขียว รังนก ไม่เว้นแม้กระทั่งขนมเด็ก ต่างเติมความสวยให้คนรักผิวด้วย "คอลลาเจน"

แม้จะยังไม่มีตัวเลขมูลค่ารวมของเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม คอลลาเจน เพราะว่ากำลังเป็นเทรนด์ที่ผู้ประกอบการเครื่องดื่มกระโดดลงมาเล่นเติมจุดขาย "ความสวยจากภายใน" โดยมุ่งมายังกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ หนุ่มสาวรักสวยทั้งหลาย ไล่กันตั้งแต่วัยรุ่น พนักงานออฟฟิศ จนถึงวัยผู้ใหญ่ที่ยังใส่ใจกับ "ความงาม" ของผิวพรรณ

สำหรับในตลาดนมพร้อมดื่ม ผู้เล่นรายหลักที่เปิดจุดขายเรื่องความสวย ความงามอย่างจริงจัง คือ โฟร์โมสต์ ก่อนที่จะลงมาเพิ่มจุดขายใหม่ให้ตลาดนม ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย รายงานผลการสำรวจของบริษัท ฟรีสแลนด์ ฟู้ด โฟร์โมสต์ (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์โฟร์โมสต์ ยืนยันว่า ทุกวันนี้ความต้องการของผู้บริโภคมีความซับซ้อน จึงต้องการสินค้าที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะทางมากขึ้น นโยบายขององค์กรนี้จึงมุ่งเน้นการผลิตนมพร้อมดื่ม ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทางของผู้บริโภคโดยเฉพาะ "สวยจากภายใน"

จาก โฟร์โมสต์ แคลซีเม็กซ์ บิวติวา (Foremost Calcimax Beautiva) ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในปลายปีที่ผ่านมา โฟร์โมสต์ได้ลอนซ์ชูจุดขายนมผสม คอลลาเจน อโลเวรา วิตามินเอ ซี อี และแคลเซียมสูง เพื่อตอบสนองตลาดกลุ่มลูกค้าผู้หญิงในช่วงวัยเรียนมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงาน ที่มองหาเครื่องดื่มที่เป็นตัวช่วยในเรื่องผิวพรรณ ผ่านคอนเซปต์ Beauty from within ที่ได้ “นาเดีย นิมิตรวานิช” เป็นพรีเซ็นเตอร์ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เปิดตัว โฟร์โมสต์ แคลซีเม็กซ์ บิวติวา สูตรผสมน้ำส้ม 30% ลงสู่ตลาดอีกหนึ่งรสชาติ และจากโฟร์โมสต์ แคลซีเม็กซ์ บิวติวา ตามมาด้วยต้นเดือนเมษายน 2550 ที่ผ่านมานี้ ตอกย้ำผู้เล่นหลังรายเดียวที่ออกมาชูจุดขายใหม่ในเรื่องความงามอย่างจริงจังด้วย โฟร์โมสต์ ไฮไฟว์ ผสมน้ำแครอทและน้ำเบอร์รี่สกัด ซึ่งได้ "บี้ เดอะสตาร์" หรือ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว มาเป็นพรีเซ็นเตอร์

ทั้งนี้ จุดขาย "ความงาม" ที่ได้จากนมโฟร์โมสต์นั้น ยังไม่อยู่แค่นี้ เพราะอยู่ในระหว่างการพัฒนาสินค้าใหม่อีก 1-2 รสชาติ ซึ่งจะตอบสนองความต้องการลูกค้าที่แตกต่างกัน

จาก คอลลาเจน ในนมพร้อมดื่ม คอลลาเจน ก็อยู่ในนมถั่วเหลืองได้เช่นกัน เพราะกว่า 1 ปีแล้วที่แลคตาซอยซึ่งเป็นผู้นำตลาดนมถั่วเหลืองในเซ็กเมนท์ยูเอชที ปล่อย แลคตาซอยสูตรผสม คอลลาเจน เพิ่มดีกรีความน่าสนใจในตลาดนมถั่วเหลือง มีการแข่งขันดุเดือด ภายใน 1 ปี พบว่าแลคตาซอยสูตร คอลลาเจน มีอัตราการเติบโตถึง 34% เติบโตสูงกว่าตลาดนมทุกเซ็กเมนท์

นอกจากสินค้าในกลุ่ม Beauty Drink ยังมีอีกหลายรายที่ลงมาเล่นด้วยการเน้นความงามจากภายใน เช่น นมผสม คอลลาเจน ดัชมิลล์ ดีพลัส หรือน้ำผลไม้ทิปโก้ ที่ตอกย้ำผู้นำการตลาดน้ำผลไม้ 100% และเป้าหมาย King of Orange Juice ก็มีทั้งน้ำส้มแคลิฟอร์เนีย ไฮ-แคล ไฮ-ซี, ส้มแคลิฟอร์เนีย ไลท์, ส้มแคลิฟอร์เนีย คอลลาเจน, ส้มแคลิฟอร์เนีย ผสมอโลเวรา และสารสกัดจากเมล็ดองุ่นขาว

นอกจากรายใหญ่ทั้งกลุ่มนมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้แล้ว ยังมีรายเล็กอย่างเซปเป้ ก็ไม่พลาดที่จะเข้าสู่สมรภูมิ "ดื่มแล้วสวย" เช่นกัน

แม้จะไม่ได้ออกมาทำตลาดเท่ากับผู้ผลิตเครื่องดื่มรายอื่นๆ แต่บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด ก็มองเห็นโอกาสทางการตลาดจึงได้ขยายไลน์มาสู่ตลาดบิวตี้ ดริ๊งค์ ผ่านเครื่องดื่ม เซปเป้ บิวตี้ดริ๊งค์ เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นไปที่เริ่มรักสวยรักงามและให้ความสำคัญกับการดูแลผิวพรรณ

เซปเป้ บิวตี้ดริ๊งค์ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด "แค่ดื่ม...ก็สวย" และวางตำแหน่งให้เป็นนิชมาร์เก็ต หรือตลาดเฉพาะกลุ่มหญิงสาว อายุ 20-45 ปี ที่มาพร้อม 2 รสชาติ คือ เซปเป้ บิวตี้ ดริ๊งค์ ไลท์ น้ำผลไม้รวม 12% ผสม คอลลาเจน 1,000 มิลลิกรัม และเซปเป้ บิวตี้ ดริ๊งค์ ไฟเบอร์ 8,000 มิลลิกรัม น้ำผลไม้รวม 12% ผสมใยอาหารและแอล-คาร์นิทีน

ความแรงของคอลลาเจน ยังทำให้เครื่องดื่มซุปไก่สกัดอย่างสก๊อต พยายามปั้นสก๊อต คอลลาเจน-อี ให้ติดตลาดผ่านพรีเซ็นเตอร์หน้าใส “ริต้า-ศรีริต้า เจนเซ่น”

กลุ่มผลิตภัณฑ์ สก๊อต คอลลาเจน-อี ชูจุดขายของส่วนผสม คอลลาเจน ที่เข้มข้นและมากกว่าแบรนด์อื่นๆ นั่นคือ 6.2% หรือคิดเป็น 2,790 มิลลิกรัม ขณะที่เครื่องดื่มอื่นๆ ใส่คอลลาเจนประมาณ 1-2% เท่านั้น

โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงาม อายุระหว่าง 25-30 ปีขึ้นไป ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มผู้ชายที่อยากดูดีจากภายในเช่นกัน สก๊อตยังอยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าตัวใหม่ สก๊อตคอลลาเจน-อี ฟอร์เมน เพื่อขยายฐานไปสู่กลุ่มผู้ชายรักสุขภาพเช่นกัน

ความแรงของ คอลลาเจน ยังไต่ลงไปยังสินค้าเด็ก ทั้งขนมและลูกกวาด เมื่อบริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด เจ้าของแบรนด์ยูโร่คัสตาร์ดเค้ก, เลเยอร์เค้กแบรนด์เอลเซ่, เวเฟอร์ปักกิ่ง, เวเฟอร์ตราโอโจ้, เยลลี่ปีโป้ เอซ่ โตเซน ฯลฯ เปิดตัวลูกอมผสมวิตามินซีผสม คอลลาเจน “คอลลาเนะ” โดยจำหน่ายราคาซองละ 10 บาท สำหรับกลุ่มลูกค้าทั่วไป

สมชาย เวชากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด บอกว่า อีก 3 ปีข้างหน้า เทรนด์สุขภาพและความงามในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจะรุนแรงมากขึ้น จึงเตรียมความพร้อมด้วยการลงทุนโรงงานและเตรียมการคิดค้นพัฒนาสินค้าใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้

เขายังยกความร้อนแรงของ คอลลาเจน ว่าจะเป็นตัวช่วยให้ชาเขียวพร้อมดื่มโตเซน รักษาการเติบโตเอาไว้ได้ท่ามกลางตลาดเครื่องดื่มชาเขียวขาลง ด้วยการเปิดตัวชาเขียวโตเซนสูตรผสมคิวเท็น เพื่อตอกย้ำเทรนด์บิวตี้ดริ๊งค์

"คอลลาเจน" จึงเป็นเทรนด์เครื่องดื่มดาวรุ่งมาแรง ที่ออกมาสนองคนอยากสวยอยากหล่อ ด้วยวิธีการง่ายๆ เพิ่งแค่ดื่ม!!!

"ทุกวันนี้ความต้องการของผู้บริโภคซับซ้อน จึงต้องการสินค้าที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะทางมากขึ้น โดยเฉพาะสวยจากภายใน"

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ Bizweek

คอลลาเจน คืออะไร

คงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ใครๆต่างก็ต้องการให้ตนเอง ผิวสวย หน้าใส ดูอ่อนวัย ไร้ริ้วรอย กันทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะผิวพรรณของคนเราต้องรับบทหนัก ทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกาย ต้องสัมผัสกับแดดจ้า ฝุ่นควันพิษต่างๆนานาไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณ แห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึกสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อนเวลาและวัยอันควร
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณก็คือ คอลลาเจน(Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่วไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกาย โดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้(Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วย คอลลาเจน ถึง 75%
คอลลาเจน มีสารประกอบที่สำคัญคือ Proteoglycan และ Glyconsaminoglycans ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของผิวเส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน ว่า "กาวแห่งชีวิต" เพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆในร่างกายเข้าด้วยกัน รวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิวหนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน(Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว และทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม
collagen-structure
รูปแสดงโครงสร้าง คอลลาเจน
การสูญเสีย คอลลาเจน
น่าเสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเราเมื่อมีอายุ 25 ปี ขึ้นไป คอลลาเจน จะเริ่มเสื่อมสภาพลง เพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปี และเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือที่เป็นปัญหาเรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆสูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึง ก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปี ผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็นเงาตามตัวดังนี้
collagen-loss-with-age
กราฟแสดงอัตราการเริ่มสูญเสีบคอลลาเจนเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป
อายุ 30-39 ปี ผิวจะเริ่มมีรอยย่นบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก มีริ้วรอยเล็กๆใต้ขอบตาล่าง และหางตาจะเห็นชัดเวลายิ้มและมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้วซึ่งจะเห็นชัดเวลานิ่วหน้ามีริ้วรอยบางๆที่ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจเกิดไฝ กระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้นขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น
อายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้นรอยย่นข้างแก้มและร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก มีฝ้าชนิดลึกมากขึ้นสภาพผิวเริ่มแห้งมีรูขุมขนใหญ่และเริ่มจะเป็นสิวอีกครั้งมีติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆสีน้ำตาลภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
อายุ 50-64 ปี ผิวจะมีสภาพเหมือนกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น
อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปากบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปากส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆคล้ายกับวัย 50-64 ปี
collagen-depletion
รูปแสดงภาคตัดขวางของชั้นผิวหนังเมื่อเกิดการสูญเสีย คอลลาเจน
รูปแสดงการเปรียบเทียบสภาพผิวหนังที่มี คอลลาเจน แตกต่างกัน
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนโดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ และรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่สุดได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้ สารสกัดโปรตีน คอลลาเจน เพื่อทดแทน คอลลาเจน ที่สูญเสียไป
การทดแทน คอลลาเจน ที่สูญเสียไป
การนำสารสกัดโปรตีน คอลลาเจน เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิวและลดริ้วรอยนั้นปกติทำได้ 2 วิธี คือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้และการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มากดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ซึ่งครีมบำรุงผิวต่างๆตามท้องตลาด ที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน ก็จะเป็นเพียงการผลัก คอลลาเจน ให้เข้าไปอยู่ได้แค่ชั้นผิวหนังกำพร้า (แต่เนื่องจาก คอลลาเจน มีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ได้ประมาณ 30 เท่า ของน้ำหนัก จึงทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้นเท่านั้น) จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากจะเปรียบเทียบระหว่างการฉีด คอลลาเจน เข้าใต้ผิวหนังกับการรับประทานแล้ว จะพบว่าวิธีการรับประทานนั้น ง่ายและสะดวกมากกว่าการฉีด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ การรับประทานนั้นยังเป็นการนำ คอลลาเจน เข้าไปเสริมสร้างทั้งส่วนของผิวหน้าและผิวพรรณทั่วร่างกายโดยผลการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารที่สกัดจากโปรตีนของปลาทะเลน้ำลึกบางประเภท (ที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้าง คอลลาเจน ของผิวคนเรา) โดยวิธีการ Enzymatic Hydrolysis เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง นั้น สามารถช่วยเสริมสร้าง คอลลาเจน ที่สูญเสียไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยปกป้องและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้งกระด้าง ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น นุ่มนวลคงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเล็บและเส้นผมให้มีสุขภาพดีได้อีกด้วย
บุคคลใดควรรับประทาน คอลลาเจน
คอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษา ความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพลง เนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไปและควรศึกษาคำเตือนบนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ก่อนการรับประทาน

ส่วนประกอบของผิวหนัง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่และมีพื้นผิวมากที่สุดในร่างกายและทำหน้าที่ห่อหุ้มร่างกายไว้ มีหน้าที่ที่สำคัญคือ

1. ห่อหุ้มร่างกายให้คงรูปร่างอยู่ได้
2. ป้องกันอันตรายต่างๆจากสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง, ความแห้ง-ชื้น และเชื้อโรคต่างๆ
3. ควบคุมอุณหภูมิ โดยการทำงานของต่อมเหงื่อและรูขุมขน
4. รับความรู้สึกต่างๆ เช่น ความเจ็บปวด, ร้อนหนาว, รับน้ำหนักกดทับ เป็นต้น
5. รับรู้และต่อต้านสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกด้วยระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิวหนัง

http://www.mozaikskin.com/images/index.jpghttp://www.instablogsimages.com/images/2007/09/27/glowing-skin_5248.jpg

ส่วนประกอบของผิวหนัง (โครงสร้างของผิวหนัง)

ผิวหนังประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ

1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
2. ชั้นหนังแท้ (Dermis)

ส่วนชั้นที่อยู่ลึกลงมาเป็นชั้นใต้ผิวหนังซึ่งเป็นชั้นไขมัน (Subcutaneous tissue, Subcutis,
Panniculus) ผิวหนังทุกที่จะประกอบด้วยชั้นต่างๆ เหมือนกันแต่อาจมีความแตกต่างกันด้าน
ความหนาบาง เช่น ชั้นหนังกำพร้าจะหนาที่สุดที่ฝ่ามือฝ่าเท้าประมาณ 1.5 ม.ม. ขณะที่เปลือก
ตาหนาประมาณ 0.1 ม.ม. ขึ้นหนังแท้หนาที่สุดที่หลัง และขั้นไขมันจะมีมากที่หน้าท้องและก้น

http://content.revolutionhealth.com/contentimages/images-image_popup-skin_type.jpg

1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่นอกสุดและสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง ผิวชั้นหนังกำพร้าเกิดจากเซลล์
ชั้นเดียวซึ่งแบ่งตัวหนาขึ้นเกิดเป็นเซลล์ผิวหนัง(Keratonocyte) และ Epidermal Appendages
(Adnexal Structures) เช่นขุมขน, ต่อมเหงื่อ,ต่อมไขมันเป็นต้น ส่วนประกอบที่สำคัญ คือ

1.1 เซลล์ผิวหนัง (Keratinocyte) หรือ Squamous cell เป็นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสาร Keratin
ซึ่งเป็น complex filamentous protien ทำหน้าที่ปกคลุมผิวหน้าของผิวหนังเป็นชั้นขี้ไคล้
(stratum corneum) ซึ่งจะหลุดอกไปในที่สุดและเป็นโปรตีนของเส้นขนและเล็บด้วย เซลล์
ผิวหนังอาจแบ่งได้เป็น 4 ชั้น จากชั้นลึกที่สุดคือ basal layer, malpighian or prickle layer,
granular layer, horny layer or stratum corneum โดยเซลล์ผิวหนังจะแบ่งตัวจากชั้น basal
layer ซึ่งเป็นเซลล์ชั้นเดียวขึ้นไปเป็นเซลล์ที่อยู่ชั้นตื้นขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและ
ขนาดของเซลล์จนในที่สุดจะเป็นเซลล์ชั้นขี้ไคล้และหลุดลอกออกไปในที่สุด

skin3

1.2 Epidermal Appendages (Adnexal Structures) เป็นอวัยวะที่งอกมาจากเซลล์ชั้นหนัง
กำพร้าลึกลงมาในผิวหนังชั้นหนังแท้ ประกอบด้วย

1.2.1 หน่วยต่อมเหงื่อ (Eccrine Sweat Unit)
1.2.2 หน่วยต่อมอโปคราย (Apocrine Unit)
1.2.3 ขุมขน (Hair Follicle)
1.2.4 หน่วยต่อมน้ำมัน หรือต่อมน้ำมัน (Sebaceous Gland Unit)

skin4

1.3 เซลล์อื่นๆ ในผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ที่สำคัญ เช่น

1.3.1 Melanocyte เป็นเซลล์สร้างเม็ดสี
1.3.2 Langerhans Cell เป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานที่ผิวหนัง

2. ชั้นหนังแท้ (Dermis)
ชั้นหนังแท้ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเส้นใยคือ collagen fibers, elastic fibers และ reticulum
fibers ซึ่งเส้นใยจะมีลักษณะละเอียดและอยู่กันแบบหลวมๆในชั้นบนที่อยู่ชิดกับชั้นหนังกำพร้า
เรียกว่าชั้น papillary dermisส่วนในชั้นลึกเส้นใยมีลักษณะหยาบกว่าและอยู่กันอย่างหนาแน่น
เรียกว่าชั้น reticular dermis เส้นใยดังกล่าวจะวางตัวอยู่ในสารพื้นฐาน(Ground substance) ซึ่ง
ประกอบด้วย acid mucopolysaccharide พวก hyaluronic acid, chondroitin sulfate,dermatan
sulfate, neutral mucopolysaccharides และ electrolytes
นอกจากนั้นในชั้นหนังแท้ยังมีเส้นเลือด,กล้ามเนื้อ, เส้นประสาทและปุ่มประสาทพิเศษที่รับ
ความรู้สึกต่างๆ เช่น รับความรู้สึกสัมผัสความกดดัน ความร้อน ความเย็น เป็นต้น และในชั้นหนัง
แท้ยังมี Mast cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่มี granules ที่บรรจุด้วยสารหลายชนิดเช่น heparin, histamine,
neutrophil chemotactic factor, eosinophil chemotactic factor of anaphylaxis และ kinin เป็นต้น

skin5

3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutis)
ชั้นลึกลงมาจากชั้นหนังแท้จะเป็นชั้นไขมันใต้ผิวหนังซึ่งจะแบ่งโดยผนังกั้นบางๆซึ่งประกอบ
ด้วยเส้นใยcollagen และเส้นเลือด ทำให้ไขมันมีลักษณะเป็นกลุ่มๆ (lobules) ชั้นนี้เป็นส่วนรอง
รับผิวหนังให้คงรูปร่างรับแรงกระแทก และสะสมพลังงานแก่ร่างกาย

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ โดย นายแพทย์วิโรจน์ สินธวานนท์

  ©Template Blogger Green by Dicas Blogger.

TOPO