Monday, October 19, 2009

สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุ

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง
พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็
การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่
มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของ
คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะ
กระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

http://img169.imageshack.us/img169/9319/basic1688984298901212.jpghttp://img169.imageshack.us/img169/1829/3447700289957498997503.jpg

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถ
บอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการ
ทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่า
อดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคน
ที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตา
โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

Sunday, October 18, 2009

วิธีป้องกันขอบตาช้ำ

ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เรา
จะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมี
ดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้ว
ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส
ความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำ
ทำให้กลับมาสดใสจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้
บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสีย
ก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำ
เป็นมากขึ้น

http://img203.imageshack.us/img203/3048/12091272798633010863503.jpghttp://img122.imageshack.us/img122/3164/e0b8a7e0b8b4e0b898e0b8b.jpg

ขอบตาช้ำ
มีสาเหตุมาจากหลาย ๆ อย่าง วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันแบบง่าย ๆ มาฝาก...
วิธี ป้องกัน ไม่ให้เกิด รอยคล้ำ รอบดวงตา คือ ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ ขาดวิตามินและอื่น ๆ ล้วนเป็นสาเหตุ ที่ทำให้รอบดวงตา เกิดรอยคล้ำเป็นวงดูไม่สดใส เพราะจะเกิดจากเม็ดสีของเลือดที่สะท้อนออกทางผิวหนัง

วิธีแก้ คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจาก สาหร่ายทะเล หรือ กาเฟอีน จะทำให้การหมุนเวียนของโมเลกุลในเลือดดีขึ้นและทำให้รอยคล้ำรอบดวงตาค่อย ๆ จางหายไป
สูตรใหม่ครับ จำมาจากทีวี เกลือ 1 ช้อนชา ละลายในน้ำอุ่น ปริมาณ.. แล้วใช้ผ้าซับน้ำเกลือ วางบนดวงตา
อย่าลืมหลับตาก่อนละ

ปริมาณอาหารที่แนะนำให้วัยผู้ใหญ่บริโภค

การบริโภคอาหารที่เหมาะสม สำหรับวัยผู้ใหญ่ คือ บริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยให้มีพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และอาหารที่ได้รับควรเป็นอาหารที่หลากหลาย ใน 1 วัน ส่วนปริมาณอาหารที่แนะนำให้บริโภค ในที่นี้จะใช้ปริมาณพลังงานที่แสดงในตารางที่ 3.2 คือ ผู้หญิงวันละ 1,750 กิโลแคลอรี และผู้ชาย วันละ 2,100 - 2,150 กิโลแคลอรี เป็นตัวอย่างในการเทียบส่วนของอาหารที่แนะนำให้บริโภคตามธงโภชนาการ ดังนี้

1. ข้าว ข้าว ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้บริโภคเฉพาะข้าวเท่านั้นแต่ควรบริโภคสับ เปลี่ยนหมุนเวียนเป็นอาหารอื่นที่ให้คาร์โบไฮเดรต เช่น บางมื้อเปลี่ยนจากข้าวเป็นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมปัง และขนมจีน และข้าวที่บริโภคควรเป็นข้าวกล้องสลับบ้างในบางมื้อสำหรับผู้ที่ไม่ชอบ บริโภคข้าวกล้อง แต่ถ้าบริโภคเป็นประจำได้แนะนำให้บริโภค เพื่อให้ได้รับวิตามินบี 1 ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท และกระตุ้นความอยากบริโภคอาหาร ปริมาณที่แนะนำให้บริโภค ตารางที่ 3.3

2. ผักสด ผู้ใหญ่ควรได้รับผักใบเขียว และผักอื่นทุกวันๆ ละ 2 – 3 ครั้ง โดยบริโภคผักสีเขียวและผักสีอื่น เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง ผักสีเขียวนอกจากจะมีเบต้าแคโรทีนแล้วยังมีธาตุเหล็ก และถ้าเป็นผักสดจะมีวิตามินซี สำหรับปริมาณที่แนะนำให้บริโภค ตารางที่ 3.3

3. ผลไม้ ควร บริโภคผลไม้สด และเลือกผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้มชนิดต่างๆ เพื่อป้องกันการขาดวิตามินซี หรือจะบริโภคผักและผลไม้ ให้ครบ 5 สีตามสมัยนิยม คือ สีเขียว สีน้ำเงินหรือม่วง สีขาวหรือน้ำตาล สีเหลืองหรือส้ม และสีแดง เพื่อให้ได้รับสารไฟโตเคมีคอล (phytochemicals) สำหรับปริมาณที่แนะนำให้บริโภค ตารางที่ 3.3

4. เนื้อสัตว์ ควรบริโภคเนื้อสัตว์ที่หลากหลาย และควรบริโภคเครื่องในสัตว์สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง อาหารทะเลสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ปริมาณที่แนะนำให้บริโภค ตาราง ที่ 3.3 เนื้อสัตว์ถ้าเปลี่ยนเป็นไข่ 1 ฟอง เท่ากับ 2 ส่วน ในผู้ใหญ่ควรบริโภคไข่มื้อละ ½ - 1 ฟอง ซึ่งอาจเป็นไข่ต้ม ไข่ทอด หรือใส่ในอาหารอื่น


หมายเหตุ : นม 1 ส่วนตามธงโภชนาการเท่ากับ 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ขนาดบรรจุที่จำหน่ายปัจจุบัน คือ 180 และ 240 ลูกบาศก์เซนติเมตร ต่อหน่วยบริโภค จึงอนุโลมให้ดื่มตามขนาดที่บรรจุจำหน่าย

5. นม ผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชาย ควรได้รับนมสด หรือนมถั่วเหลือง อย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ถ้าผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป อาจดื่มนมสดชนิดพร่องมันเนยและเสริมแคลเซียมจะเหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนัก และสะสมแคลเซียมเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน

6. เกลือ น้ำตาล ไขมันและน้ำมัน เกลือและน้ำตาลผู้ใหญ่ควรได้รับในปริมาณน้อย ไม่ควรเกินวันละ 2 ½ - 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมันได้รับในรูปของน้ำมันที่ใช้ในการทอด ผัดอาหาร รวมถึงกะทิที่ใส่ในแกง และขนมหวานบางชนิด

หลักการกำหนดรายการอาหารสำหรับวัยผู้ใหญ่ การกำหนดรายการอาหารสำหรับวัยผู้ใหญ่ใช้หลักการเดียวกับการกำหนดอาหารครอบครัว

ตัวอย่างรายการอาหารวัยผู้ใหญ่

เช้า
- ข้าวสวย

- แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ไก่ผัดพริกขิง ผัดผักบุ้ง

- ส้มเขียวหวาน 1 ผล

ว่างเช้า
- นมสด ขนมถั่วแปบ

กลางวัน
- ขนมจีน แกงเขียวหวานไก่

- ถั่วแดงต้มน้ำตาล

ว่างบ่าย
- เต้าฮวยฟรุตสลัด

เย็น
- ข้าวสวย

- ต้มยำรวมมิตรทะเล ผัดดอกกุยช่ายกับตับ ไข่เจียว

- มะละกอ


ที่มา : ผศ.สุรีย์ แถวเที่ยง

Saturday, October 17, 2009

ปริมาณพลังงานจากอาหารที่แนะนำให้บริโภคสำหรับวัยผู้ใหญ่

วัยผู้ใหญ่ (adulthood) หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป วัยนี้ร่างกายจะมีการสร้างเพื่อการเจริญเติบโตน้อยลงแต่มีการสร้างเซลล์ ต่างๆ เพื่อรักษาสมรรถภาพการทำงานในร่างกายให้คงที่ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยทุกวัน ซึ่งมีผลทำให้อัตราการทำงานของอวัยวะภายในลดลง การ เปลี่ยนแปลงจะมากน้อย ช้าเร็วขึ้นอยู่กับภาวะโภชนาการ และการดำเนินชีวิตของบุคคลนั้นๆ ถ้าเป็นผู้มีภาวะโภชนาการดี สุขภาพแข็งแรง มีสภาวะแวดล้อมที่ดี ไม่เครียด การเปลี่ยนแปลงของเซลล์จะเกิดขึ้นช้า ในทางกลับกันถ้ามีภาวะโภชนาการไม่ดี มีความเครียด การเปลี่ยนแปลงของเซลล์จะเกิดอย่างรวดเร็ว ผู้มีภาวะโภชนาการดีจะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง และเป็นผู้มีอายุขัยยืนยาว

http://img207.imageshack.us/img207/7868/thuapril200722525psu048.jpghttp://img75.imageshack.us/img75/3700/d36480755828077345.jpg

ปัญหาโภชนาการที่พบในวัยผู้ใหญ่ ปัญหาโภชนาการที่มักพบในวัยผู้ใหญ่ คือ น้ำหนักร่างกายเกินมาตรฐาน และโรคอ้วน ส่วนโรคผอม หรือผู้ที่มีน้ำหนักร่างกายต่ำกว่ามาตรฐานพบน้อย เนื่องจากในวัยนี้มักมีกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือใช้พลังงานลดลง ระยะนี้บางคนอาจเป็นผู้บริหารลักษณะของการทำงานจะเป็นการนั่งอยู่กับที่ มากกว่าการเคลื่อนไหวร่างกาย ดังนั้นความต้องการใช้พลังงานในแต่ละวันจะลดลง แต่ยังคงบริโภคอาหารในปริมาณเท่าเดิม ทำให้สมดุลของพลังงานในร่างกายเป็นบวก มีการเก็บสะสมสารอาหารที่ให้พลังงานในรูปไขมันมากขึ้น และก้าวเข้าสู่ภาวะน้ำหนักร่างกายเกินมาตรฐาน เป็นโรคอ้วน และเกิดโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

ความต้องการพลังงานของวัยผู้ใหญ่ การหาปริมาณความต้องการใช้พลังงานของวัยผู้ใหญ่ มีวิธีการ ดังนี้

1. การ คำนวณจากกิจกรรม หรืองานที่ทำประจำในแต่ละวันว่าเป็นงานประเภทใด เช่น งานเบา งานปานกลาง หรืองานหนัก หรืออาจใช้วิธีการคำนวณโดยละเอียด คือ คำนวณค่าพลังงานพื้นฐาน พลังงานเพื่อการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และพลังงานสำหรับการทำกิจกรรมภายนอกร่างกาย

ข้อดีของการคำนวณ คือ ทำให้ทราบปริมาณความต้องการพลังงานของตนเอง ถ้าใช้ปริมาณพลังงานจากตารางที่ 3.2 ตัว เลขที่แสดงเป็นค่าเฉลี่ยสำหรับคนไทยที่มีสุขภาพดีเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 97-98) ของแต่ละเพศ อายุ และวัย หรือภาวะทางสรีรวิทยา เช่น หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ซึ่งไม่ใช่ค่าที่แท้จริงเฉพาะบุคคล

ข้อเสียของการคำนวณ คือ ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในวิธีการคำนวณ เสียเวลา และต้องมีเครื่องมือช่วยในการคำนวณ


2. ใช้จำนวนพลังงานตามปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ปี พ.ศ. 2546 ซึ่งกำหนดให้คนไทยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุได้รับพลังงานจากอาหารที่บริโภคต่อวัน ตารางที่ 3.2


ข้อดี สะดวกเพราะอาจเสียเวลาดูเพียงครั้งเดียวก็สามารถจำได้ และใช้ในชีวิตประจำวันง่าย ไม่ต้องเสียเวลาในการคำนวณ

ข้อเสีย ไม่ใช่ปริมาณพลังงานที่เป็นของตนเอง เพราะตัวเลขที่แนะนำในตารางที่ 3.2 เป็นตัวเลขที่ได้จากค่าเฉลี่ยของประชากรทั้งประเทศ

อาหารการกินในวัยผู้ใหญ่

ผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าจะหยุดเจริญเติบโตแล้ว แต่ร่างกายก็ต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วน เพื่อนำไปทำนุบำรุงอวัยวะ และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ให้คงสภาพการทำงานที่มีสมรรถภาพต่อไป และปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้วัยผู้ใหญ่ยังคงแข็งแรง ได้แก่ การบริโภคอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ซึ่งในวัยนี้ เนื่องจากเป็นวัยทำงานมีเงินทองที่จะจับจ่ายได้มากขึ้น โดยมากจะทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกินเป็นส่วนใหญ่ เพราะถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนบางกลุ่ม ที่คิดว่าอุสส่าห์หาเงินทองแทบแย่ จึงต้องรับประทานอาหารที่มีราคาแพง และส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยไขมันในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่เป็นหัวใจในการควบคุมเรื่องอาหารการกินในผู้ใหญ่ ก็คือการควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม และท่านสามารถคำนวณได้จากสูตร ดัชนีความหนาของร่างกายซึ่งมีรายละเอียดในหัวข้อเรื่องการควบคุมน้ำหนักตัว สำหรับคำแนะนำการรับประทานอาหารที่ถูกต้องในผู้ใหญ่ ขอแนะนำดังนี้

1. ให้บริโภคอาหารหลายชนิด เนื่องจากไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการได้ครบถ้วน

2. บริโภคอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ

3. หลีกเลี่ยงการรับประทานที่มีไขมันมากเกินไป

4. บริโภคอาหารที่มีปริมาณของแป้ง และกากใยให้เพียงพอ

5. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยปริมาณน้ำตาลจำนวนมาก

6. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารเค็มมากเกินไป

7. ถ้าท่านดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ ขอให้ท่านดื่มแต่พอประมาณ

Wednesday, October 14, 2009

โรคจิตต่างจากโรคประสาทอย่างไร

คือคำถามของสื่อมวลชนถามผู้อำนวยการของโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราช นครินทร์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2551 ในโอกาสที่โรงพยาบาลจัดสัมมนาในโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ร่วมสรรค์สร้าง TO BE NUMBER ONE ณ ห้องประชุมของโรงพยาบาล

นับว่าเป็นคำถามที่สำคัญยิ่งเพราะถ้าใครต้องเดินเข้ามารักษาที่รพ.จิตเวช ต่าง ๆ ของกรมสุขภาพจิตหลายคนจะพูดว่าเป็นโรคบ้า บางคนเรียกวิกลจริตทุกคนถือเป็นการเหมารวมที่ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่เดิน เข้ามาในโรงพยาบาลจิตเวช แท้จริงแล้วมีความต่างกันอยู่จึงขอเล่ารายละเอียดข้อมูลจากบทความสุขภาพจิต ใน 1667 ของกรมสุขภาพจิต ดังนี้

คนเป็นโรคจิตหรือคนวิกลจริต คนทั่วไปมักเรียกว่า "คนบ้า" ซึ่งจะสังเกต ได้จากการแสดงออกที่แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปเช่น หัวเราะคนเดียว พูดคนเดียว มี หูแว่ว เห็นภาพหลอนมีพฤติกรรมแปลก ๆ เปลี่ยนไปจากปกติ เช่น แก้ผ้าในที่สาธารณะ พูดจาไม่รู้เรื่อง ความคิดผิดปกติไปจากเดิม คิดว่าตนเองเป็นใหญ่ เป็นโต เป็นดารา เป็นผู้วิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ บางคนมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเอง และผู้อื่นจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ผู้ป่วยโรคจิตในระยะเริ่มแรกนั้นสังเกตได้ค่อนข้างยาก โดยส่วนใหญ่แล้วคน ใกล้ชิดกว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อมีอาการเป็นมากแล้ว ซึ่งอาการที่เรามักสังเกตเห็นนั้นอาจมีลักษณะดังนี้ คือ

บุคลิกภาพหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และผิดปกติไปจากสังคมทั่วไป ซึ่งส่วนมากจะมีลักษณะประหลาดหรือไม่ถูกกาลเทศะ เช่น เคยเป็นคนสะอาดเรียบร้อยก็กลายเป็นคนสกปรกมอมแมม คนที่เคยสุภาพกลายเป็นคนหยาบคาย ทะลึ่งตึงตัง หรือร้องรำทำเพลงตามถนน หนทาง พูดเพ้อเจ้อไม่ได้เรื่องราว

ในด้านความคิด ผู้ป่วยโรคจิตบางคนจะคิดหรือ เห็นในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เช่น หลงผิดคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ หรือคิดว่าจะมีคนทำร้ายทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่มี บางคนจะรับรู้ หรือมีสัมผัสสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเช่น หูแว่ว ได้ยินเสียงคนมาพูด บางรายมีภาพหลอนโดยเห็นภาพต่าง ๆ ไปเอง

ในด้านอารมณ์ ผู้ป่วยโรคจิตจะมีอารมณ์เปลี่ยน แปลงไปได้มาก เช่น แสดงอารมณ์ ไม่สอดคล้องกับความนึกคิด หรือสภาพแวดล้อม เมื่อพูดเรื่องเศร้าเช่น แม่ตายกลับแสดงอาการหัวเราะชอบใจ หรือมีอาการเหมือนทองไม่รู้ร้อน ถ้าคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคจิต และได้รับการรักษาแล้ว กลับไปบ้าน คุณสามารถสังเกตอาการที่กลับเป็นซ้ำได้ โดยมีอาการเตือนที่พบได้บ่อย ๆ เช่น รู้สึกตึงเครียด กระวนกระวาย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ขาดสมาธิ เบื่อหน่าย ไม่มีความสุข เบื่ออาหาร กินได้น้อย ความจำไม่ดี ย้ำคิดย้ำทำ ไม่อยากพบปะผู้คน รู้สึกว่าถูกคนอื่นนินทาว่าร้าย ไม่สนใจสิ่งรอบ ๆ ตัว มีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน รู้สึกไร้ค่า คิดฟุ้งซ่าน

โรคประสาทมีหลายประเภท ได้แก่ โรคประสาทวิตกกังวลทั่วไป โรคประสาท กลัวอะไรเฉพาะอย่าง โรคประสาทวิตกกังวลเกี่ยวกับเจ็บป่วยของร่างกาย โรคประสาทตื่นตกใจง่าย โรคประสาทกลัวที่โล่งแจ้ง โรคประสาท กลัวการเข้าสังคมและโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ และการที่บุคคลจะป่วยเป็นโรคประสาทชนิดไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของบุคลิกภาพของผู้นั้นว่ามีลักษณะเช่นไร เช่น โรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ มักพบในบุคคลที่มีบุคลิกภาพเจ้าระเบียบหรือสมบูรณ์แบบ

อาการไม่รุนแรงเท่าโรคจิต อาการเด่น ๆ ของโรคประสาท จะมีความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลเป็นอาการหลัก โดยความกลัวจะเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งเร้าที่เห็นได้ชัด เช่น กลัวเสือ กลัวความมืด กลัวการอยู่ในที่แคบ ๆ เป็นต้น ส่วนความวิตกกังวลคือ ความกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่น กังวลเกี่ยวกับผลสอบเอ็นทรานซ์ ทั้งที่ยังไม่ได้ประกาศออกมา เมื่อความกลัวหรือความวิตกกังวลเกิดขึ้น จะมีผลต่อพฤติกรรมของคนเรา ทำให้อาการทางกายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ เช่น หัวใจเต้นแรง หายใจไม่อิ่ม ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดหรือเวียนศีรษะ และบางคนอาจเกิดปฏิกิริยาต่อความกลัวในขั้นรุนแรง จะมีอาการตื่นกลัวและตกใจอย่างมาก ถึงขนาดจะเป็นลมหมดสติ และถ้าความกลัวหรือความกังวลเกิดอยู่นาน ๆ บุคคลนั้นจะรู้สึกเหนื่อยเชื่องช้าลง ซึมเศร้า กินอะไรไม่ลง นอนไม่หลับ หรือฝันร้ายบ่อย ๆ และจะคอยหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คล้าย ๆ กันนั้นอยู่บ่อย ๆ จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตได้

กล่าวโดยสรุป ผู้ป่วยโรคประสาทจะมีอาการดังนี้คือ
1. วิตกกังวล กลัว ย้ำคิดย้ำทำ
2. อาการดังกล่าวมีมาก จนกระทบกระเทือนต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่นการกิตอยู่หลับนอน การทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
3. รู้ตัวเองดีว่ามีอาการผิดปกติ
4. รู้สึกทรมานกับอาการที่เป็นอยู่ และต้องการการรักษาถ้าคุณมีอาการดังกล่าวมาทั้ง 4 ข้อ ขอให้รีบไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน

เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายนี้หวังว่าท่านคงเข้าใจถึงความแตกต่างของโรค จิตและ โรคประสาทหากเจ็บป่วยด้วยโรคจิตหรือโรคประสาทก็มีหลักในการดูแลรักษาขึ้น อยู่กับแพทย์จะวางแผนการดูแลรักษาอย่างไรคงต้องมีการพูดคุยกันระหว่าง แพทย์ ผู้ป่วย และญาติต่อไป.


ที่มา - อภิญญา ปัญญาพร รพ.จิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์.

โรคประสาท (Neurosis)

โรคประสาทคือโรคที่มีอาการเครียดวิตกกังวลง่าย เป็นอาการเด่น ผู้ป่วยโรคนี้จะรู้ตัวเองว่าผิดปกติ และอยากรักษาให้หาย อาการมักเกิดตั้งแต่อายุน้อย การดำเนินของโรคเรื้อรัง

อาการ

1. อารมณ์เครียด วิตกกังวลเกินกว่าปกติ
2. อาการของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำงานมากกว่าปกติ มีอาการ ใจเต้น ใจสั่น แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย
3. อาการของระบบกล้ามเนื้อ มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก-เกร็ง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัวเหมือนถูกบีบ
4. ความคิดซ้ำซากวนเวียน คิดในทางร้าย มองโลกในแง่ร้าย กลัวล่วงหน้า กลัวในสิ่งที่ไม่น่ากลัว

ประเภทของโรคประสาท

1. โรคประสาทวิตกกังวล (Anxiety Neurosis)
2. โรคประสาทซึมเศร้า (Depressive Neurosis)

การดำเนินของโรค

โรคนี้มักเป็นตั้งแต่อายุน้อย เรื้อรังต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษา

http://img504.imageshack.us/img504/8412/12343221449f345cover670.gifhttp://img251.imageshack.us/img251/3158/12817attachment6700273.jpg

การรักษา


1. การใช้ยา เพื่อลดอาการในระยะแรก ยาที่ใช้เป็นยาในกลุ่มยาลดความวิตกกังวล หรือยาคลายเครียด ยานอนหลับ
2. การรักษาทางจิตใจ มีหลายวิธี ได้แก่

จิตบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับในปัญหาของตน และมีการเปลี่ยนแปลงในตนเอง เพื่อให้ไม่เกิดความเครียด

พฤติกรรมบำบัด ฝึกให้รู้จักการจัดการกับความเครียด การคลายความเครียดด้วยตนเอง การลดอาการทางร่างกายจากความเครียด

การบำบัดทางความคิด ฝึกให้รู้จักคิดดี คิดเป็น มองโลกในแง่ดี ไม่กังวลล่วงหน้าเกินกว่าเหตุ ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่เป็นจริง

ไบโอฟีดแบ็ค เป็นการฝึกให้หาวิธีผ่อนคลายตนเอง โดยมีการรับรู้ได้ตลอดเวลาถึงระดับความเครียดของตนเอง

3.การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม

จัดสิ่งแวดล้อมให้ผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบเกินไป จัดงานให้พอสมควรไม่มากเกินกำลัง มีธรรมชาติแวดล้อม แบ่งเวลาให้มีการผ่อนคลาย มีกิจกรรมสนุกสนานสลับ มีการพักผ่อนเพียงพอ

การป้องกัน

1. การเลี้ยงดูเด็กให้มีพัฒนาการดี ไม่ปกป้องจนเกินไป หรือ ปล่อยให้เด็กเผชิญความเครียดรุนแรงเกินไป
2. การฝึกเด็กให้เผชิญปัญหาตามวัยอันควร

ที่มา : นพ.พนม เกตุมาน

มาดู การเพาะกายเพื่อให้ได้รูปร่างอย่างที่คุณต้องการ - เล่นกล้าม - เพาะกายไทย - วิธีเพาะกาย

เมื่อพูดถึงการฝึกเพาะกาย เรามักจะนึกถึงรูปร่างของผู้ชาย ที่มีกล้ามเนื้อคมชัด รูปร่างสมส่วน สวยงามแข็งแรง และบึกบึนสมชายชาตรี เพราะว่าการเพาะกายเป็นวิธีการออกกำลังกาย เพียงวิธีเดียว ที่คุณจะสามารถเลือกสร้าง หรือปรับปรุงรูปร่างได้อย่างที่คุณต้องการ

ส่วนใหญ่คนที่หันมาสนใจการเพาะกายก็เพราะมาจากสาเหตุความไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง อาทิ คุณเป็นคนที่ผอมมากจนมองแล้วเหมือนโครงกระดูกเดินได้ หรืออาจเป็นประเภทที่มีไขมัน ส่วนเกินมากเกินไป หรือแม้แต่พวกที่ผอมแต่ลงพุงต้องการทำให้กล้ามเนื้อกระชับมากขึ้น ซึ่งทั้งหมด จะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณต้องการเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม แต่จะมากน้อยแค่ไหนก็ต้อง แล้วแต่ความตั้งใจของแต่ละคน

http://img67.imageshack.us/img67/7516/muscle46210274623565.jpghttp://i36.photobucket.com/albums/e45/simp2run/isp_MuscleMan1.jpg

เป้า หมายในการฝึกเพาะกายส่วนใหญ่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 พวก โดยพวกแรกจะต้องการฝึกเพื่อให้มีกล้ามเนื้อสมส่วนตามความต้องการของแต่ละ บุคคล ไม่ต้องการให้กล้ามเนื้อ มีขนาดใหญ่มากจนเกินไป มองเห็นกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจนและมีไขมันสะสมน้อย ซึ่งพวกนี้ ได้แก่ พวกนายแบบและนางแบบ นักกีฬา กลุ่มพวกลดความอ้วน ส่วนพวกที่สองจะต้องการฝึกเพื่อให้มีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ คมชัดและมีไขมันสะสมน้อย กลุ่มที่สองนี้จะต้องการฝึกเพื่อเข้าแข่งขันเพาะกาย จึงจำเป็นต้องสร้างกล้ามเนื้อให้มีขนาดใหญ่เต็มที่ ซึ่งจะเรียกพวกนี้ว่านักเพาะกาย หากคุณต้องการหุ่นแบบนายแบบก็จะต้องฝึกในแต่ละท่าด้วยน้ำหนัก ปานกลาง ทำจำนวนเซ็ท (set) และจำนวนครั้ง (rep) มาก ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายแบบแอโรบิค (aerobic) อย่างเต็มที่ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณไม่มีขนาดใหญ่มากจนเกินไปและมี ไขมันสะสมน้อยจนเห็นกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจน สำหรับ อาหารเสริมที่นิยมใช้จะเป็นกลุ่มที่ใช้ควบคุมน้ำหนัก (weight-control) และลดไขมัน (fat burner) ยกตัวอย่างเช่น คาร์นิทีน (carnitine) โครเมียม (chromium) กาซีเนีย (garcinia) เป็นต้น การสร้างหุ่นนายแบบอาจใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 เดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปร่างพื้นฐานของแต่ละคน หากคุณต้องการหุ่นแบบนักเพาะกาย ก็ต้องเริ่มจากการสร้างรูปร่างให้มีขนาดใหญ่เหมือนนักเพาะกายก่อน โดยการรับประทานอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรทและโปรตีนสูงแต่มีไขมันต่ำสำหรับการ ฝึก จะต้องใช้น้ำหนักในการฝึกแต่ละท่าค่อนข้างมาก ทำจำนวนเซ็ทและจำนวนครั้งน้อย และเมื่อได้รูปร่างและขนาดแบบนักเพาะกายแล้วก็จะฝึก เพื่อลดไขมันสะสมในร่างกายและปรับปรุงกล้ามเนื้อในส่วนที่ยังพัฒนาไม่เต็ม ที่ และเมื่อมีโปรแกรมการแข่งขันก็จะต้องทำการลดน้ำหนัก ให้อยู่ในรุ่นที่จะเข้าแข่งขันโดยการลดไขมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยคงสภาพขนาดของกล้ามเนื้อให้มีขนาดเท่าเดิม อาหารเสริมที่กลุ่มนักเพาะกายเลือกใช้จะแบ่ง ออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเพิ่มน้ำหนักตัว และกล้ามเนื้อ กลุ่มลดไขมัน กลุ่มเพิ่มพลังงานในการฝึก กลุ่มกระตุ้นกล้ามเนื้อและกลุ่มวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ การสร้างรูปร่างแบบ นักเพาะกายจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี เมื่อคุณเปรียบเทียบความแตกต่างของรูปร่างทั้งสองแบบ จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีความแตกต่างกันเลยระหว่างสารอาหารและวิธีการฝึก จะต่างกันก็แต่เพียง นักเพาะกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารและการฝึกในปริมาณที่มากและหนักกว่า จากการเปรียบเทียบวิธีการฝึกเพาะกายของรูปร่างแบบต่างๆ ดังกล่าว จึงไม่ต้องกลัวว่าหากคุณต้องการหุ่นนายแบบ และฝึกเพาะกายแบบธรรมดาๆ ก็ไม่มีทางที่คุณจะได้รูปร่างแบบนักเพาะกายเป็นอันขาดและที่สำคัญ การฝึกเพาะกายและการควบคุมอาหารของทั้งสองแบบต้องใช้ความตั้งใจและความอดทน อย่างเต็มที่ จึงจะเห็นผล


ที่มา : http://www.livewellguide.com/man/thai/men101_01.html

กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยอย่างฉลาด - ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำนานๆ

เกือบ จะไม่มีคนไทยรายใดที่ไม่รู้จัก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งส่วนมากมักจะเรียกชื่อตามตราหรือยี่ห้อ เช่น มาม่า ยำยำ ไวไว โคคา และอื่น ๆ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยติดอันดับตลอดมา

หากจะนำตัวเลขยอดของคนไทยกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาเปิดเผยแล้วหลายคนจะ ตาค้างคาดไม่ถึงจากรายงานระบุว่า ในแต่ละวัน คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6 ? 7 ล้านซอง ตกคนละประมาณ 50 ซองต่อปี

กลุ่มที่กินมากที่สุดเห็นจะเป็นเด็ก และวัยเรียน วัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กหอพัก แทบจะพูดได้ว่า กินกันทุกวัน บางราย เช้า-เย็น และกินติดต่อกันเป็นเวลานาน จนกว่าจะเบื่อ แต่บางรายไม่รู้จักเบื่อเพราะกินแทนข้าวเป็นอาหารหลักประจำไปเลย
http://img394.imageshack.us/img394/4093/20090601140112389334338.jpghttp://img202.imageshack.us/img202/2638/20090812235236392796839.jpg
มีหลายเหตุผลที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นอาหารยอดฮิตในสังคมไทย อันได้แก่ ปรุงง่ายสะดวก ไม่เสียเวลา เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อย และทำกับข้าวไม่เป็น ใครๆ ก็ปรุงได้และหาซื้อง่ายราคาไม่แพง ที่สำคัญคือ มีหลากหลายยี่ห้อและรสชาติให้เลือกตามรสนิยมของคนไทย รสชาติอร่อยซึ่งส่วนมากเพราะผงชูรส

เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา นักโภชนาการจัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารด้อยคุณค่า ไม่สมดุลมีแต่แป้งและผงชูรส ต่อมาทานกระแสการบริโภคที่มาแรงของคนไทยไม่ได้ จึงร่วมมือกันนำมาพัฒนาให้มีคุณค่ามากขึ้น โดยการเสริมสารอหาร 3 ชนิด ในเครื่องปรุง คือ วิตามินเอ ไอโอดีน และธาตุเหล็ก แล้วส่งเสริมการบริโภคให้ถูกหลักโภชนาการการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยเพียง แค่เติมน้ำร้อนแล้วกินเลยนั้น ถือได้ว่ากินไม่ถูกต้องโดยเฉพาะกินแบบนี้ติดต่อกันจนเป็นนิสัย ที่เห็นยิ่งไปกว่านั้น คือ ฉีกซองกินทั้งดิบๆ เป็นขนมกินเล่นการกินลักษณะนี้ติดต่อกันเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ เพราะเท่ากับว่าได้กินเฉพาะแป้ง

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่นับว่าใช้ได้ ไม่ได้เลยร้ายมากมายอะไร หากรู้จักปรุงกินให้ถูกวิธี โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อเฉพาะตำรับหรือยี่ห้อที่บนซองระบุว่า มีสารไอโอดีน เหล็กและวิตามินเอ อยู่เท่านั้น เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์และผักลงไปทุกครั้ง ผักที่เติมอาจเป็นถั่วงอก คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ผักกาด ก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ จะต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้งที่ปรุง และไม่ควรใส่น้ำมาก ใส่น้ำพอดี เวลากินจะต้องซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่าเราได้สารอาหาร 3 ชนิดนั้น เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่

ไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันเป็นประจำนานๆ ซึ่งถือว่าเป็นการกินอาหารที่ซ้ำซาก ควรกินสลับกับอาหารประเภทแป้งอื่น โดยเฉพาะควรกินข้าวเป็นอาหารหลัก การกินอาหารที่ผ่านขบวนการผลิตซ้ำซากจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมสารพิษ บางชนิดในร่างกาย และทำให้ร่างกายได้รับสารอาหรไม่ครบถ้วน หรือได้รับอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินได้ แต่ต้องใส่ใจกินให้ถูก ปรุงให้สุก เติมเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้ง

Tuesday, October 13, 2009

รวม สถานที่ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ ในกรุงเทพฯ

ฟิตเนสเฟิร์ท

1. เดอะมอลล์ บางกะปิ 02- 377 - 9292
2.ไอโอ เฮ้าท์ สุขุมวิท (39) 02 - 262 - 0520
3. เดอะมอล์งามวงศ์วาน 02- 550 - 1020 - 9
4.เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า 02 - 884 - 7820 - 7
5. เดอะมอล์บางแค 02 - 803 - 8388 - 99
6.เซ็นทรัล ซิตี้ บางนา 02 - 745 - 6040 - 5
7. แฟชั่น ไอร์แลนด์รามอินทรา 02 - 947 - 6022 - 31
8.ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต 02 - 958 - 6255
9. โรงแรมแลนด์ มาร์ค 02 - 653 - 2424
10. คิว เฮ้าท์ ลุมพินี 02 - 677 - 7133
11.ซีคอน สแควร์ 02 - 720 - 1999
12. เซ็นทรัส พระราม 3 02 - 673 - 6085 -8
13เดอะมอล์ท่าพระ 02-4777-377
14 เซ็นทรัลทาวน์รัตนาธิเบศร์ 02969-9900
15HomePro เพชรเกษม 02-807-4777
16 สาขาที่โคราช 044 - 393 - 600
17เซนทรัลแจ้งวัฒนะ 02 -101 -0300

แคลิฟอร์เนีย ฟิตเนส

1 แคลิฟอร์เนีย สาขา แจ้งวัฒนะ 02 - 822 - 0999
2.แคลิฟอร์เนีย สาขา สุขุมวิท (31) 02 - 260 - 7999
3.แคลิฟอร์เนีย สาขา เอสพลานาด 02 - 660 - 1999
4.แคลิฟอร์เนีย สาขา สยามพารากอน 02 - 627 - 5999
5.แค ลิฟอร์เนีย สาขา เชียงใหม่ 053- 999 - 499
6.แคลิฟอร์เนีย สาขา รัชโยธิน 02 - 930 - 1999
7.แคลิฟอร์เนีย สาขา สุขุมวิท 02 - 261 - 4500

สปอร์ต ซิตี้

สปอร์ต ซิตี้ 02 - 575 - 0078 - 86 ทรู ฟิตเนส 02 - 610 -3714


LEADER FITNESS

สาขาปิ่นเกล้า
โทร.0-2434-3999
สาขาหัวหมาก
โทร.0-2718-4757
สาขาบองมาร์เช่
โทร.0-2580-2211
สาขาหางดง เชียงใหม่
โทร.0-5327-9595

ที่มา : http://board.art2bempire.com/index.php?topic=18127.0

ออกกำลังกายรักษาหัวใจ

การ จัดกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม และการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ต่อผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจ ทั้งกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยยารับประทาน การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและขดลวด หรือ ได้รับการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งมีความเปลี่ยน แปลงทางกายจากความเสื่อม ซึ่งจากการออกกำลังกายสามารถชะลอความเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ รวมทั้งหัวใจ ปอด และหลอดเลือด และยังช่วยให้ร่างกายคล่องตัว ช่วยในการทรงตัวให้ดีขึ้น ป้องกันการหกล้ม ช่วยควบคุมความดันโลหิต ช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ลดความ เครียดและยังทำให้สมรรถภาพทางเพศ ดีขึ้น

เพื่อ ให้ได้ประโยชน์สูงสุดและปลอด ภัย ผู้ที่ออกกำลังกายต้องมีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ถูกต้องและรู้จัก เลือกประเภทของการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตนเอง โดยการออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพและหัวใจแข็งแรงมากขึ้น ก็คือการออกกำลังแบบแอโรบิก เช่น การเดิน การว่ายน้ำ การถีบจักรยาน ที่ทำอย่างต่อเนื่องกันอย่างน้อย 20-30 นาที
http://img67.imageshack.us/img67/7366/277932652863266909.jpghttp://i42.photobucket.com/albums/e341/prang_n/takeawalk.jpg
1.การอบอุ่นร่างกาย (Warm up) ก่อน การออกกำลังกายทุกครั้งให้เริ่มด้วยการเหยียด ยืดเอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่างๆ ต่อมาจึงเริ่มเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ ตามด้วยการออก กำลังกายประเภทนั้นๆ ในระดับความแรงต่ำก่อนที่จะค่อยๆ เพิ่มความแรงของการออกกำลังกาย จนถึงระดับที่ต้องการ เช่น เดินช้าๆ ก่อนแล้วค่อยเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจและปอด เพื่อป้องกันปัญหาเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ

2.ระยะของการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง (Work Out) ให้ เพิ่มความแรงของการออกกำลังกายจนถึงระดับที่เหมาะสม 20-60 นาที ด้วยระดับเบาถึงปานกลาง โดยความหนักที่เหมาะสมคือให้ออกกำลังจนรู้สึกเหนื่อย พอสมควร สำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลังกาย ในระยะแรกไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนัก ให้เริ่มเบาๆ ก่อนให้รู้สึกเริ่มเหนื่อยพอสมควร จน ทำได้ต่อเนื่อง 30 นาที แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความแรงจนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างน้อย 3 สัปดาห์หรือวันเว้นวัน

3.การชะลอหรือเบาเครื่อง (Cool down) หลัง จากออกกำลังกายต่อเนื่องจนครบตามเวลา/เป้าหมาย ก็ค่อยๆ ลดความแรงของการออกกำลังกายลงช้าๆ ก่อนหยุด เช่น เปลี่ยนจากวิ่งเป็นการเดินเร็ว แล้วเดินช้าลงๆ จนหยุด สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจควรใช้เวลาประมาณ 10 นาที และตามด้วยการเหยียดยืดเอ็น กล้ามเนื้อ และข้อต่างๆ เหมือนกับช่วงอุ่นเครื่อง (Warm-up) จะ ป้องกันอาการหน้ามืด เป็นลม ความดันโลหิตต่ำ เลือดไปเลี้ยงสมอง ลดลงหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากการคลั่งของเลือดบริเวณกล้ามเนื้อ และลดปัญหาปวดเมื่อย หรือบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

สำหรับ ท่านที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม ฯลฯ ควรปรึกษา แพทย์ ก่อนเริ่มการออกกำลังกายด้วยตนเอง นอกจากนี้ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไปและผู้สูงอายุที่ขาดการออกกำลังกาย เป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการออกกำลังกาย


ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

การออกกำลังกายด้วยการ "เดิน-วิ่ง"

ว่า กันว่าการออกกำลังกายด้วยการเดินและวิ่ง เป็นกิจกรรมเพื่อสุขภาพที่ง่ายและประหยัดที่สุด เพราะเพียงแค่ผู้รักสุขภาพมีความรู้สึกอยากวิ่งกับรองเท้าผ้าใบสักคู่ (หรือไม่ใส่ก็ไม่ว่ากัน) บวกกับสวนสาธารณะหรือริมถนนรถไม่พลุกพล่าน แค่นี้ก็เพียงพอ

วันนี้ มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับการเดินและวิ่งมาให้ได้ลองนำไปปรับใช้กัน ไปดูกันเลยดีกว่า

หลาย คนคงสงสัยว่าการเดินและวิ่งจ๊อกกิ้ง อะไรให้ประโยชน์กับร่างกายมากกว่า ด็อจ เคลซีย์ ผู้ชำนาญการด้านกายภาพบำบัดของสหพันธ์กายภาพบำบัดสหรัฐอเมริกา อธิบายไว้ว่า การเดินจะช่วยเผาผลาญไขมันและพลังงานได้ดีกว่าการวิ่ง เพราะการเดินเราต้องใช้กล้ามเนื้อมากกว่าการวิ่ง เคลซีย์ ยกตัวอย่างจากการทดลองเดินบนลู่วิ่งไฟฟ้า ความเร็ว 4 ไมล์ต่อชั่วโมง เมื่อเราเริ่มเร่งความเร็วไปเรื่อยๆ แต่เรายังคงเดิน ถึงแม้ว่าความเร็วที่มากขึ้นจะทำให้เท้าเราต้องก้าวเร็วขึ้น จนอยากจะเริ่มวิ่ง แต่ถ้าลองเดินต่ออีกประมาณ 30 วินาที เหงื่อจะเริ่มไหล หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น เพราะความเร็วที่มากขึ้น ปกติแล้วมนุษย์จะเริ่มจ๊อกกิ้ง ซึ่งทำให้ผ่อนคลายความฝืดและแรงเสียดทาน ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยกว่าการเดินที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทาน มากกว่านั่นเอง

http://img245.imageshack.us/img245/9109/img1230300993032137.jpghttp://img517.imageshack.us/img517/9467/huckabeerunning27786632.jpg

การออกกำลังกายด้วยการเดินที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร?


มี คำกล่าวที่ว่าการเดิน 1 นาที จะทำให้ชีวิตยาวขึ้นอีก 12 นาที เพราะการเดิน ยืน นั่ง นอน เป็นการพักผ่อนกล้ามเนื้อให้ถูกใช้งานได้น้อยที่สุด การเดินต่อเนื่อง 30-40 นาที จะมีผลดีต่อร่างกายมากที่สุด การออกกำลังกายด้วยการเดิน ควรเดินเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ก้าวยาวกว่าปกติ แต่ไม่ควรให้น่องตึง เพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อหลังขาบาดเจ็บได้ และควรปล่อยวางปัญหาความเครียดต่างๆ ไว้ข้างหลัง

สำหรับ ผู้ที่วิ่งเป็นประจำแล้วอยากลองมาเปลี่ยนเป็นการเดินดูบ้าง ถ้าปกติวิ่ง 20-30 นาที หากเปลี่ยนมาเป็นการเดิน ควรเพิ่มความนานกว่า 10-15 นาที ร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงานเท่ากับการวิ่ง การเกร็งกล้ามเนื้อมากๆ จะทำให้จิตใจเครียดควรผ่อนคลายบ้าง ควรเดินไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่อง

เดินออกกำลังกายแล้วได้อะไร?

การ เดินมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะช่วงขา ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจดีขึ้น เผาผลาญพลังงานได้ดี การเดินระยะทาง 1.6 กิโลเมตร สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ถึง 100 กิโลแคลอรี

ผล จากการเดินออกกำลังกายเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยนั้น คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ควรออกกำลังกายด้วยการเดิน คนที่เป็นโรคเบาหวาน มีน้ำตาลในร่างกายมากกว่าคนธรรมดา เนื่องจากเซลล์นำไปใช้ได้ไม่ดี เมื่อไม่ถูกใช้ก็จะเหลือน้ำตาลในกระแสเลือด นักวิทยาศาสตร์การกีฬาจะแนะนำคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานให้เดินออกกำลังกาย มากกว่าการจ๊อกกิ้ง เพราะจะทำให้เซลล์ได้รับฮอร์โมนต่างๆ สมบูรณ์ขึ้น น้ำตาลในเลือดถูกใช้มากขึ้น ปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำลง

การเดินขึ้น-ลงบันได มีประโยชน์อย่างไร?

การ เดินขึ้น-ลงบันได ก็เป็นกิจกรรมที่เราทำกันเกือบทุกวัน ลองเปลี่ยนจากขึ้นลิฟต์เป็นเดินขึ้นบันไดในชั้นห่างที่ไม่มากจนเกินไป จะช่วยอะไรได้เยอะแยะ ดร.ฮาร์เวย์ ไซมอน แห่งวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชื่อดังในสหรัฐอเมริกา สรุปประโยชน์ของการเดินขึ้น-ลงบันไดไว้ว่า

-แพทย์มักจะให้คนไข้ที่เป็นโรคปอดเดินขึ้นลงบันได 5-6 ชั้น ก่อนการผ่าตัด
-แม่บ้านที่ต้องเก็บกวาดบ้าน 2-3 ชั้น และต้องขึ้นๆ ลงๆ บันไดทุกวัน อายุจะยืนขึ้นถึง 5 ปี
-การขึ้นบันไดจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการเดินเร็วๆ 2-3 เท่า

เดินหรือวิ่งในน้ำมีประโยชน์กับร่างกายหรือไม่?

มา ถึงตรงนี้หลายคนคงนึกขำว่าอยู่ดีๆ ใครจะลงไปวิ่งในน้ำ แต่ขอบอกไว้เลยว่าการเดินหรือวิ่งในน้ำมีประโยชน์กับร่างกาย โดยเฉพาะข้อและกระดูกอย่างมหาศาล การวิ่งในน้ำมีทั้งระดับตื้น ประมาณหน้าอกหรือเอว ซึ่งจะเหมือนการวิ่งอยู่บนพื้น แต่จะปวดข้อหรือข้ออักเสบน้อยกว่าบนบก เพราะน้ำจะทำให้ข้อต่อต่างๆ ในร่างกายรับน้ำหนักลดลงเมื่อเทียบกับอยู่บนบก ส่วนระดับลึกจะเป็นการวิ่งโดยเท้าไม่สัมผัสพื้นและต้องมีอุปกรณ์ช่วยในการ ลอยตัว มาดูประโยชน์ของการเดิน-วิ่งในน้ำกัน

อันดับแรกก็คือ ช่วยลดแรงกระทำต่อข้อ เนื่องจากน้ำมีแรงลอยตัว จึงช่วยพยุงข้อต่อต่างๆ ไว้ ทำให้ข้อไม่ต้องรับน้ำหนักเต็มที่

จึง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคข้อ ต่อมาคือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เพราะน้ำจะช่วยกดกระชับผิวหนังของขาและลำตัวให้เลือดไหลเข้าสู่หัวใจได้ดี ขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการปวดและอักเสบได้ แถมยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนั้นการออกกำลังกายในน้ำยังเหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะการขยับตัวในน้ำจะทำให้ร่างกายขยับได้ช้าลง เหมือนเป็นการค่อยๆ ออกกำลังกายนั่นเอง



ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

โปรตีนชะลอ ความแก่

ออกกำลังกายบ่อยๆ กล้ามเนื้อแข็งแรง

ลอน ดอนา นักวิจัยเดนมาร์กและสหรัฐค้นพบว่าโปรตีนมีบทบาทต่อกระบวนการซ่อมแซมกล้าม เนื้อที่เสื่อมลงตามวัยหรือถูกทำลาย คาดปูทางสู่ยาชะลอแก่ได้ในอนาคต

ใน อนาคตการฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่เสื่อม โทรมไปตามวัยให้กลับมาแข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาวหรือ "ชะลอความแก่" อาจสามารถ ทำได้ง่ายๆเพียงรับประทานยาเม็ด โดย ล่าสุดวารสาร EMBO Molecular Medicine รายงานว่า นักวิจัยของเดนมาร์กและสหรัฐค้นพบโปรตีนที่สามารถทำหน้าที่ดัง กล่าวได้

ทั้ง นี้ นักวิจัยมุ่งศึกษาความสามารถ ของสเต็มเซลล์ที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายเพื่อสร้างกล้าม เนื้อใหม่ และพบว่าในยามที่คนเราอายุมากขึ้นจะมีการส่งสัญญาณเคมีเพื่อแจ้งเตือนให้ สเต็มเซลล์ทำงานอ่อนแอลงตามไปด้วย จากเหตุดังกล่าวจึงส่งผลให้ร่างกายซ่อมแซมความเสียหายโดยใช้เวลานานกว่า

ในการศึกษานักวิจัยได้ตัดตัวอย่างกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกของชายหนุ่มอายุระหว่าง 21-24 ปี และผู้ชายที่อายุมากกว่าระหว่าง 68-74 ปี โดยใส่เฝือกแข็งที่ขา เพื่อคงสภาพกล้ามเนื้อที่อ่อนแอไว้ และดูผลการสร้างกล้ามเนื้อทดแทน ซึ่งพบว่า เมื่อนำเฝือกแข็งออกผู้ชายที่ออกกำลังกายโดยใช้อุปกรณ์สามารถสร้างกล้าม เนื้อ ใหม่และมากกว่ากล้ามเนื้อที่ถูกตัดออก และก่อนออกกำลังกายผู้ชายกลุ่มอายุ น้อยมีสเต็มเซลล์ที่ทำหน้าที่ซ่อมแซม กล้ามเนื้อมากกว่าเป็น 2 เท่าของกลุ่มผู้ชาย อายุมาก

เมื่อวิเคราะห์ตัวอย่างกล้ามเนื้อพบว่าโปรตีนชื่อว่า mitogen-activated protein kinase (MAPK) เป็น กุญแจสำคัญของกระบวนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ โดยส่งสัญญาณบอกสเต็มเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนและเริ่มซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ถูก ทำลาย แต่กิจกรรมดังกล่าวปรับลดลงไปตามอายุ ซึ่งทดลองเพิ่มโปรตีน MAPK ให้กับหนูแก่ พบว่าสามารถช่วยฟื้นคืนการทำงานซ่อมแซมกล้ามเนื้อได้อีกครั้ง
http://img246.imageshack.us/img246/262/leptinreceptorsignaling.jpghttp://img517.imageshack.us/img517/7896/1967526195252620999.jpg

ผลการศึกษาล่าสุดทำให้นักวิจัยคาด หวังว่าในอนาคตจะนำไปสู่การพัฒนายาเพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไม่ให้ร่วงโรยตามวัยได้



ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

วิธีการรักษาโรคกระเพาะอาหารทำอย่างไร

1. กำจัดต้นเหตุของการเกิดโรค ได้แก่

ก. กินอาหารให้เป็นเวลา

ข. งดอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
ค. งดดื่มเหล้า เบียร์ หรือยาดอง
ง. งดดื่มน้ำชา กาแฟ
จ. งดสูบบุหรี่
ฉ. งดเว้นการกินยา ที่มีผลต่อกระเพาะอาหาร
ช. พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายคลายตึงเครียด

2. การให้ยารักษา
โดยกินยาอย่างถูกต้อง คือต้องกินยาให้สม่ำเสมอ กินยาให้ครบตามจำนวน และระยะเวลาที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ดังนั้นภายหลังกินยา ถ้าอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องกินยาต่อจนครบ และแพทย์แน่ใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะลดยาหรือหยุดยาวได้

3.การ ผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบัน มียาที่รักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างดีจำนวนมากถ้าให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดอาจทำให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่

ก. เลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก โดยไม่สามารถทำให้หยุดเลือดออกได้
ข. แผลกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเกิดการทะลุ
ค. กระเพาะอาหารมีการอุดตัน

ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

1.ยา ลดกรด( antacid ) รับประทานครั้งละ 1-2 ชต.ควรรับประทานหลังอาหาร 1 ชม. หรือก่อนอาหาร 2 ชม. และมื้อสุดท้ายก่อนนอน แล้วดื่มน้ำตาม 1-2 แก้วในระยะแรกอาจจะให้ยาทุกหนึ่งชั่วโมง เมื่อดีขึ้นอาจให้ยาทุก 1-2 ชั่วโมง
2.ยาลดการหลั่งกรด acid-suppressing drugs มีสองชนิด คือ

- Histamine-2 receptor antagonists [H2-blockers] เช่น cimetidine, ranitidine, famotidine, nizatidine.ช่วยลดอาการปวดหลังได้ยาไปประมาณ หนึ่งสัปดาห์ อาจจะรับประทานวันละครั้ง เช่นก่อนนอนได้แก่ famotidine, nizatidine วันละสองครั้งได้แก่ ranitidine วันละสี่ครั้งไก้แก่ cimetidine

- Proton pump inhibitors เช่น omeprazole, lansoprazole.ยากลุ่มนี้ช่วยลดอาการปวดท้อง และช่วยให้แผลหายเร็วกว่ายากลุ่มอื่นมักจะรับประทานวันละครั้งหลังอาหาร

1.ยา ปฏิชีวนะเช่น metronidazole, tetracycline, clarithromycin, amoxicillinใช้รักษาโรคกระเพาะที่เกิดจาก H.pylori ขนาดยาที่ให้ clarithromycin 500 mg วันละ 2 ครั้ง, amoxycillin 1,000 mg วันละ 2 ครั้ง, metronidazole 400 mg วันละ 2 ครั้ง, tetracyclin 500 mg วันละ 2 ครั้ง ยาที่นิยมรักษาแผลกระเพาะอาหารจากเชื้อโรคได้แก่การใช้ยา amoxicillin และ clarithromycin และomeprazole
2.ยาเคลือบกระเพาะ Stomach-lining protector เช่น bismuth subsalicylate.sucralfate ใช้เคลือบแผลกระเพาะ

http://img64.imageshack.us/img64/4547/pepticulcercure68447336.jpg

ปัจจุบัน การรักษา H.pylori ที่ดีที่สุดประกอบด้วยยา 3 ชนิดได้แก่ ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิดร่วมกับ ยาลดการหลั่งกรด หรือยาเคลือบกระเพาะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถรักษาผู้ป่วยได้มากกว่าร้อยละ90 เช่น omeprazole 20 mg วันละ 2 ครั้งร่วมกับ clarithromycin 500 mg วันละ 2 ครั้ง และ amoxycillin 1,000 mg วันละ 2 ครั้ง


แนวทางการรับประทานอาหารในการรักษาแผล Peptic ulcer
หลังการรักษาแพทย์อาจนัดส่องกล้องดูกระเพาะอีกครั้งว่าแผลหายหรือยัง

Monday, October 12, 2009

สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหารหมายถึงภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะ และลำไส้ถูกทำลายถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะและลำไส้ ว่า ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อบุกระเพาะเรียก gastritis แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึกmuscularis mucosa เรียก ulcerถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก gastric ulcerถ้าแผลอยู่ที่ลำไส้เล็กเรียกduodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย


สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมายแต่เชื่อกันว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง

1. เชื่อโรค Helicobacter pylori เป็นเชื้อรูปแท่งติดสีน้ำเงิน มีความสามรถอยู่ในสภาวะกรดได้ดี
2. สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น เกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งต่อไปนี้กระตุ้นให้กรดหลั่งมาก

- กระตุ้นของปลายประสาท เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์
- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
- ชา กาแฟ และน้ำดื่มที่มี Caffeine จะทำให้กรดหลั่งออกมามาก
- การสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก
- การกินอาหารไม่เป็นเวลา
- ภาวะที่มีกรดหลั่งออกมามาก เช่นโรค Zollinger-Ellisson syndrome กรดที่หลั่งออกมามากจะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
http://img126.imageshack.us/img126/9144/14712482613596759059692.jpghttp://img18.imageshack.us/img18/1047/1924959714785973514.jpg
3. มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก

- การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้วว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ เนื่องจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิด cyclooxigenase II (Cox II) ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะ
- การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบี้ย ยาดอง

4. ประวัติเป็นโรคกระเพาะในครอบครัวหากครอบครัวไหนมีโรคกระเพาะ คนในครอบครัวนั้นก็จะมีโอกาสเกิดโรคกระสูง

Sunday, October 11, 2009

คลอโรฟิลล์ ช่วยคุณได้อย่างไร

จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้
ช่วยให้เลือดสะอาด
ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ
เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย
ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน
บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้
ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้
ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น
ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น
แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน
ยับยั้ง การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล
แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด
มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น
มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
ลดอาการเมาค้าง
http://img10.imageshack.us/img10/495/dara09935980995326.jpg
ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์จากอัลฟาฟ่า

จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืช กว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ อัลฟาฟ่า เท่านั้น

อัลฟาฟ่า จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ ?ราชาแห่งอาหารทั้งมวล? ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น

http://img257.imageshack.us/img257/1403/qingdaodacon81115235810.jpghttp://img59.imageshack.us/img59/1452/chlorophyll11000677.jpg

อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียม


คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ
คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือ เยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร

ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง อาจเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า ?เลือดของพืช? (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์

ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุ ของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990

การรักษาขอบตาดำ

การรักษาแบบได้ผลช้า ๆ คือ ใช้ยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็ว ๆ ต้องรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย

หลังยิง เลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

http://img19.imageshack.us/img19/4004/eye90766789078807.jpg

ขอบตาดำเป็น เรื่องที่ต้องใช้เวลารักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


วิธีรักษาใต้รักแร้ดำ

วิธีรักษารักแร้ดำ เท่าที่ทราบก็จะมี ดังนี้
บางคนก็บอกให้ใช้มะนาวผ่าซีกทาหลังอาบน้ำ
บางคนก็บอกให้ใช้น้ำแตงกวาลบรักแร้ดำ
บางคนก็บอกว่าใช้มะขามเปียกทาก็ได้ (ครบเครื่องต้มยำพอดีเลย)
หรือใช้ครีมที่ขายตามท้องตลาดทาแก้รักแร้ดำ ก็สดวกดี

ส่วนวิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดรักแร้ดำ เท่าที่ทราบก็มี ดังนี้
ถ้าถามแม่ ๆ จะบอกให้ใช้สารส้มทารักแร้หลังจากอาบน้ำและเช็ดตัวแล้ว
ซึ่งจะช่วยระงับกลิ่นกายและไม่ทำให้รักแร้ดำ แล้วก็ราคาย่อมเยา

แต่ถ้าจะให้สดวกไม่ต้องกลัวสารส้มบาดรักแร้เป็นแผลเปล่า ๆ
ก็จะมีลูกกลิ้งทาระงับกลิ่นตัวที่ไม่ทำให้รักแร้ดำก็มีขายกันอยู่

หารูปมาฝาก รูปคนที่รักแร้ดำก็ดูไม่สวยจริง ๆ ด้วย
แต่ไม่ต้องกลัว รักษาได้จ้ะ
http://img340.imageshack.us/img340/720/14042074748817480713.jpg

วิธีแก้รักแร้ดำ-วิธีทำให้ วงแขน (รักแร้) ขาว

ถาม : ใครมี วิธีการที่ทำให้ วงแขนหรือ รักแร้ ขาว มั้งค่ะ คือตอนนี้ รักแร้ดำเปน วง เลยอ่าค่ะ มันทำให้ไม่มั่นใจ และเสีย บุคลิคมากเลย วงแขนดำนี่เนื่องจากอะไรหรือค่ะ เป็นเพราะใช้ roll-on หรือป่าวค่ะ แล้วจะใช้ roll-onยี่ห้อไหนที่ดับกลิ่นและไม่ดำ ดีหละคะ

- วิธีทำให้ วงแขน(รักแร้) ขาว
- สาเหตุที่ทำให้ วงแขน ดำ
- roll-on ยี่ห้อไหน ที่ใช้ดับกลิ่นได้ดีและไม่ทำให้วงแขนดำ ได้บ้างค่ะ

ตอบ : รักแร้ดำคล้ำ เป็นปัญหาใกล้ ๆ ตัว ใครที่กำลังพบกับปัญหานี้อยู่ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้มาฝาก

• หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรง ๆ บริเวณผิวใต้วงแขน
• หยุดใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ เช่น ถ้าแพ้น้ำหอม ก็ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน
• ถ้าเกิดอาการดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที
• หันมาลองใช้สูตรสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ใต้วงแขนขาวเนียนดีกว่า สมุนไพรที่ทำให้วงแขนขาวเนียน

http://img28.imageshack.us/img28/7530/sexywoman7261256.jpghttp://img97.imageshack.us/img97/1710/2009092410201507226698.jpg

มะขาม


แนะนำให้ใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากจะทำให้ผิวขาวใสแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีก

มะนาว

นำมะนาวมาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที แล้วล้างออก ส่วนมะนาวที่เหลือยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า และข้อศอกที่ดำ ๆ ได้อีกด้วย

เกลือสปา

ใช้เกลือขัดผิวถูเบา ๆ เน้นว่าเบา ๆ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้
วิธีที่แนะนำไม่ยากจนเกินไปใช่ไหม ?

ลองนำไปปฏิบัติตามดูได้ เพื่อวงแขนที่ขาวเนียน..

Helicobacter pylori (H. pylori) คือ? - สาเหตุมะเร็งกระเพาะอาหาร

เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่สำคัญของผู้ป่วยโรคกระเพาะ เชื่อว่าติดต่อโดยการรับประทานอาหาร และน้ำ เชื้อจะทำลายเยื่อบุ และฝังตัวที่กระเพาะอาหาร กรดจากกระเพาะอาหารจะช่วยทำลายเยื่อบุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

เชื้อ Helicobacter pylori เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร องค์กร International Agency for Research on Cancer จัดให้ H. pylori เป็นตัวก่อมะเร็งกระเพาะอาหารกลุ่มที่ 1 คำถามต่อมาคือว่าการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อนี้จะช่วยลดความเสี่ยง ต่อมะเร็งได้หรือไม่ เป็นคำถามที่งานวิจัยเชิงทดลองหลายงานที่ผ่านมาได้พยายามแต่ยังไม่มีข้อสรุป ชัด. การศึกษา meta-analysis นี้ผู้วิจัยได้ศึกษาทบทวนงานวิจัย randomized controlled trial ที่เปรียบเทียบอุบัติการณŒของมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ป่วยที่มี H. pylori จากฐานข้อมูล Medline, EMBASE ฯลฯ และนำมาวิเคราะห์แบบ meta-analysis การทดลองรักษาผู้ป่วยที่มีเชื้อ H. pylori.
http://img65.imageshack.us/img65/379/21338154836345233634860.jpghttp://img515.imageshack.us/img515/436/lt22963536336355700.jpg
ผลการศึกษา พบว่ามีงานวิจัย 7 งาน ที่เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ให้ยากำจัดเชื้อกับกลุ่มที่ไม่ให้ยากำจัด เชื้อ. การติดตามผู้ป่วยมีระยะเวลา 4-10 ปี โดยสรุปพบว่า กลุ่มที่รักษา H. pylori เกิดเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ร้อยละ 1.1(37/3388) ในขณะที่กลุ่มไม่ได้รักษามีร้อยละ 1.7 (56/3307) คิดเป็นอัตราเสี่ยง 0.65 ( RR 0.65 95% CI 0.43, 0.98).

ในจำนวนการศึกษา 6 งาน เป็นการวิจัยในประชากรชาวเอเชียซึ่งมีอุบัติการณ์ของมะเร็งกระเพาะอาหารค่อน ข้างสูง. ยาที่ใช้ในการรักษา H. pyroli ได้แก่ยา amoxicillin, proton pump inhibitor, และ clarithromycin หรือ metronidazole ผลการรักษาสามารถกำจัดเชื้อได้ร้อยละ 73-89 ในกลุ่มรักษา และได้ร้อยละ 5-15 ในกลุ่มควบคุม.
http://img126.imageshack.us/img126/3004/glaucomahelicostomach63.jpg
สรุป การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการรักษากำจัดเชื้อ H. pyroli น่าจะลดความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร การศึกษานี้ทำในคนเอเชีย ผู้วิจัยเอง คิดว่ามีข้อจำกัดในการนำไปใช้กับประชากรอื่น จึงอาจต้องมีการศึกษาเพิ่ม แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากเพราะจะมีปัญหาด้านจริยธรรมในกลุ่มควบคุมที่ ไม่รักษาการติดเชื้อ ประเด็นการศึกษาเพิ่มเติมที่น่าสนใจ อาจค้นหาว่าผู้ป่วยกลุ่มใดและปัจจัยใดที่จะทำให้ผู้ป่วยได้ประโยชน์จากการ รักษาเพื่อป้องกันมากที่สุด.

โครงสร้างของต่อมเหงื่อ

ต่อมเหงื่อประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์มารวมกัน ประกอบด้วยถุงและท่อเหงื่อ (Sweat Duct) ซึ่งเปิดออกที่ผิวหนัง ทั่วร่างกายมีต่อมเหงื่อประมาณ 2-5 ล้านต่อม ขับเหงื่อออกมาวันละ 700-900 C.C

ต่อมเหงื่อ ประกอบด้วย น้ำ ประมาณ 99% เกลือแร่ ไขมัน ยูเรีย และอื่น ๆ

ต่อมเหงื่อมีมากที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เหงื่อมักออกขณะอากาศร้อนอบอ้วน เมื่อเหงื่อออกและลมพัดจะเกิดการระเหยของเหงื่อที่ผิวกายจึงทำให้ร่างกาย เย็นสบาย

ต่อมเหงื่อ APOCRINE เป็นต่อมเหงื่อที่พบริเวณรักแร้ และบริเวณร่มผ้า เป็นต้น เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นต่อมเหงื่อมีสารโปรตีน ซึ่งในต่อมเหงื่อ ECCRINE ไม่มี และจะถูกแยกตัวด้วยแบคทีเรียหรือเชื้อโรคต่างๆ ทำให้เกิดกลิ่นผิดปกติ หากมีกลิ่นแรงมากขึ้นก็จะเรียกว่ากลิ่นตัว ค่า pH ของผิวหนัง (ค่าความเป็นกรดด่าง) ผิวภายนอกปกคลุมด้วยเหงื่อและไขมันจากต่อมเหงื่อ ต่อมเหงื่อ (CEBACEOUS) มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ ผิวที่มีสุขภาพดีจะมีค่าเป็นกรดอ่อนๆ อีกทั้งสารโปรตีนใน CORNIFIED หรือกล่าวโดยรวมว่าผิวหนังนั้นจะมีสุขภาพดีที่สุดเมื่อมีคุณสมบัติเป็นกรด อ่อนๆ เมื่อผิวเริ่มมีค่าเป็นด่าง เชื้อโรคจะแพร่กระจายง่ายขึ้น และมีภูมิต้านทานลดลง ค่า pH ลดลงไปตามลำดับ
http://img96.imageshack.us/img96/7168/sweatg14213369.jpghttp://img81.imageshack.us/img81/4923/sweatg24170680.jpg

“ต่อมเหงื่อบกพร่อง” สาเหตุของโรคร้าย

เหงื่อ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้

ใน นิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ พ.ย. พ.ญ.เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง จ.เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ

1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

- เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น
- ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย
- วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง
- เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม
- โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง
- ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน
http://img242.imageshack.us/img242/996/20090113909024007482.jpghttp://img410.imageshack.us/img410/2331/bodypunang4010199.jpg
2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย

ผู้ ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้

- โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด
- ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้


ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

การฉีดยาเข้าชั้นผิวหนัง ( Intradermal injection )

จุดประสงค์
• ทดสอบภูมิแพ้ ภูมิต้านทานโรค
• ให้ภูมิคุ้มกันโรค
• ให้ยาชาเฉพาะที่

เครื่องใช้
1. บันทึกการให้ยาผู้ป่วย หรือการ์ดยา และคำสั่งการรักษา
2. ยา
3. เข็มปลอดเชื้อ มักใช้เบอร์ 24 ความยาว 3/8-5/8 นิ้ว
4. กระบอกฉีดยาปลอดเชื้อ มักใช้ขนาด 1 มล. หรือกระบอกฉีดยาสำหรับฉีด tuberculin
5. น้ำยายับยั้งเชื้อ เช่นแอลกอฮอล์ 70 %
6. สำลีปลอดเชื้อบรรจุในภาชนะปลอดเชื้อ
7. ปากคีบปลอดเชื้อ
8. ชามรูปไต 1 ใบ
9. ถาดใส่เครื่องใช้หรือรถเข็น

ตำแหน่งที่ฉีดยา
•ท้องแขนด้านหน้า
• หน้าอกส่วนบน
• ส่วนหลังใต้กระดูกสะบัก

วิธีทำ
• ตรวจสอบบันทึกการให้ยา หรือการ์ดยาของผู้ป่วย กับคำสั่งการรักษา
• หยิบยาให้ตรงกับบันทึกการให้ยา หรือการ์ดยา ตรวจสอบยายังไม่หมดอายุ
• บอกให้ผู้ป่วยทราบ
• ล้างมือให้สะอาด
• เตรียมยาฉีดตามหลักการปลอดเชื้อ
• เลือกตำแหน่งที่ฉีดยา หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีรอยถลอก อักเสบ ช้ำ บวมหรือรอยแผลเป็น
• เช็ดบริเวณที่จะฉีดยาด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70 % เช็ดเป็นวงกลมจากตรงกลางออกมาด้านนอก
• ถอดปลอกเข็มออก
• ขณะที่รอให้แอลกอฮอล์แห้ง ไล่อากาศในกระบอกฉีดยาโดยจับกระบอกฉีดยาให้ตั้งตรง ค่อยๆ ดันลูกสูบจนกระทั่งเห็นยา
เข้าไปอยู่ในหัวเข็ม ตรวจสอบจำนวนยาให้ถูกต้อง
• ดึงผิวหนังเหนือบริเวณที่จะฉีดยาให้ตึง หงายปลายเข็มขึ้นทำมุม 10-15 องศา กับผิวหนังแทงเข็มเข้าไปในผิวหนังถึงชั้นหนังแท้
• ดันยาเข้าไปในผิวหนังผู้ป่วย ถ้ายาซึมออกมาแทงเข็มลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย เมื่อดันยาเข้าไปจะเห็นตุ่มนูนขึ้น ถอนเข็มออกเล็กน้อย
• สังเกตอาการของผู้ป่วยที่อาจมีปฏิกิริยาต่อยา เช่น ไอ หอบ เหนื่อย ชีพจรเบาเร็ว หรือหมดสติ
• ถอนเข็มฉีดยาออก ห้ามกดหรือนวดบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้ยากระจายเข้าไปในเนื้อเยื่อ
• เก็บเครื่องใช้และทำความสะอาดให้ถูกวิธี
• ลงบันทึกในแผ่นบันทึกการให้ยา
• ประเมินสภาพผู้ป่วยบริเวณที่ฉีดยาภายใน 14 หรือ 48 ชั่วโมงโดยบันทึกเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นมิลลิเมตรบริเวณที่มีรอยแดงและแข็ง

มารู้จักโครงสร้างผิวกันเถอะ โครงสร้างผิวหนัง (Skin Structures)

ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยผิวหนังแบ่งได้เป็น 3 ชั้น

1. ชั้นบนสุด เรียกว่า หนังกำพร้า (epidermis) เป็นชั้นที่เรามองเห็นอยู่ด้านนอกสุด
2. ชั้นกลาง เรียกว่า หนังแท้ (dermis)
3. ชั้นล่างสุดเป็น ชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน(subcutaneous)

1.หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นของผิวหนังที่ปกคลุมอยู่บนสุด จะประกอบไปด้วยเชลล์ที่มีการเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆและเกิดใหม่ โดยที่เซลล์ใหม่จะถูกสร้างจากชึ้นล่างสุดติดกับหนังแท้และเจริญเติบโตขึ้น แล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาทดแทนเซลล์ที่อยู่ชั้นบนจนถึงชั้นบนสุดแล้วก็กลายเป็นขี้ไคล (keratin) หลุดลอกออกไป นอกจากนี้ในชั้นหนังกำพร้ายังมีเซลล์ เรียกว่า เมลานิน ปะปนอยู่ด้วย เมลานินมีมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับบุคคลและเชื้อชาติ จึงทำให้สีผิวของคนแตกต่างกันไป ในชั้นของหนังกำพร้าไม่มีหลอดเลือด เส้น ประสาท และต่อมต่างๆ นอกจากเป็นทางผ่านของรูเหงื่อ เส้นขน และไขมันเท่านั้น


2.หนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นล่างถัดจากหนังกำพร้า แต่หนากว่าหนังกำพร้ามากจะประกอบด้วยโปรตีนหลัก 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อ คอลลาเจน (collagen) และเนื้อเยื่อ อีลาสติค(elastic) คอลลาเจน(Collagen) ช่วยให้ความแข็งแรงแก่ผิวหนัง และช่วยในการซ่อมแซมผิวหนังที่บาดเจ็บ ซึ่งถ้าสร้างในปริมาณมากก็เกิดเป็น แผลเป็นนั่นเองส่วน อีลาสติน (Elastin)liสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และในชั้นหนังแท้นี้ยังเป็นที่อยู่ของ หลอดเลือด เส้นประสาท กล้ามเนื้อเกาะเส้นขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และขุม ขนกระจายอยู่ทั่วไป


3.ชั้นใต้ผิวหนัง (subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) ประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ความหนาขึ้นกับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล ชั้นนี้ทําหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คล้ายฉนวนกันความร้อนช่วยลดแรงกระทบกระแทกจากภายนอก และชั้นไขมันที่มีมากโดยเฉพาะบริเวณสะโพก เอว ต้นขา ที่เรียกว่า cellulite คือไขมัน ที่มีเนื้อเยื่อคล้ายพังผืดแทรกอยู่ทําให้เกิดการดึงรั้งผิวหนังเห็นเป็น ลอนๆจากภายนอกการเกิด celluliteไม่ขึ้นกับ ปริมาณของไขมันในร่างกายคนผอมก็มี cellulite


ข้อปฎิบัติคงผิวสาวตลอดกาล นิรันดร์
การเลือกรับประทานอาหารทีมีประโยชน์ เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยดูแลสุขภาพ ดูแลผิวหน้าในแต่ละวัย 15-20 ปีขึ้นไป
วัยรุ่นกับสิวเป็นของคู่กัน สิวในช่วงนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ดูแลผิวหน้าในแต่ละวัย 20 ปีขึ้นไป
วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง ควรทำหลังจากทำความสะอาดหน้าแล้ว แต้มเจลหรือครีมขัดผิว ดูแลผิวหน้าในแต่ละวัย 30 ปีขึ้นไป
ผิวหน้าของสาววัยนี้ จะมีปัญหาของริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่น

มารู้จักโครงสร้างผิวกันเถอะ
รู้รึเปล่า ว่าโครงสร้างผิวคนเรามีกี่ชั้น แล้วแต่ละชั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง คำตอบทั้งหมดสำหรับปัญหาความงาม
10 เรื่องจริงของความงาม ที่คุณต้องรู้ เกี่ยวกับ สุดยอดแห่งความงาม

ครีมกันแดดแต่ละยี่ห้อต่างกันยังไง

เพราะรังสียูวีที่ทะลุผ่านชั้นอากาศลงมา ทำให้เกิดปัญหากับผิว ครีมกันแดด จึงจำเป็นมาก เคล็ดลับครีมกันแดดไม่ให้แก่แดด
รู้กันอยู่ว่าแสงแดดเป็นอันตรายกับผิว แล้วมีวิธีป้องกันอย่างไรไม่ให้ผิวเสีย

ครีมทาหน้าขาว มีกี่ชนิด ทำงานอย่างไร

ปัจจุบันครืมหน้าขาวมีให้เลือกหลายชนิด ราคามีตั้งแต่หลักร้อยจนกระปุกละหมื่น whitening แต่ละชนิดต่างกันยังไงนะ

การที่มีผิวขาว นวลเนีน ย่อมนำมาซึ่งเสน่ห์ดึงดูดต่อเพศตรงข้าม ทำให้คนนิยมเปลี่ยนสีผิวของตนเอง

Beautyful Creamมาทำความรู้จักกับครีม ชนิดต่างๆ ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำกันนะคะ

มารู้จักชั้นผิวกัน (Skin Structures)

ก่อนการบำรุงผิวของเรานั้น มารู้จักชั้นผิวกันก่อน

ผิวของเรามีด้วยกัน 3 ชั้น โดยทำหน้าที่ต่างกัน

1. ชั้นหนังกำพร้า คือ ผิวชั้นนอกสุด ปกคลุมร่างกาย ผิวชั้นนี้มีหน้าที่ ผลิตเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่เรื่อยๆ

2. ผิวชั้นที่สอง ถัดจากชั้นหนังกำพร้าลึกลงมา มีความหนาถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของโครงสร้างผิว เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทที่สำคัญต่างๆ ผิวชั้นนี้ทำหน้าที่ผลิตน้ำมันและเหงื่อ เป็นการช่วยป้องกันผิวจากเชื้อโรคต่างๆ

3. ผิวชั้นในสุด และจะเป็นไขมันเสียส่วนใหญ่ ผิวชั้นนี้ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะส่วนอื่นๆ ใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้ผิวหนังมีความหนาและนุ่ม ซึ่งคนที่รูปร่างอวบจะเห็นได้ชัดกว่าคนที่รูปร่างผอม ทุกครั้งที่เกิดการสูญเสียพลังงาน ผิวหนังชั้นนี้จะทำหน้าที่คล้ายผ้าห่ม ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

http://img136.imageshack.us/img136/458/epidermisdermis3070881.jpghttp://img98.imageshack.us/img98/4470/f01680130779903079816.jpg

  ©Template Blogger Green by Dicas Blogger.

TOPO