Thursday, January 29, 2009

''เตือนภัยฉีดผิวขาว'' เสี่ยงตาบอด-ถึงตาย!

...กระแส “เห่อทำขาว” ทั้งในกลุ่มสาวน้อย-สาวใหญ่ กลุ่มเพศที่สาม หรือแม้แต่ผู้ชายแท้ ๆ กำลังมาแรงในเมืองไทย มีธุรกิจ “รับทำขาว” เกิดขึ้นมากมาย มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณกันเต็มที่ เช่น... เพื่อความขาวเนียนของผิวพรรณ, เพื่อให้ผิวขาวสวยทั่วเรือนร่าง, เพื่อให้ผิวขาวผ่องเป็นยองใย, เพื่อให้ผิวขาวเหมือนดารา, เพื่อให้ผิวขาวผ่องเป็นชมพูเหมือนพริตตี้ ฯลฯ

แต่ประเด็นคือการทำขาวยุคนี้...มันไม่ธรรมดา

เพราะใช้วิธี “ฉีดสารขาว” เข้าไปในร่างกาย !!
The image “http://www.chillisiam.com/thaiproduct/picproduct/99732008-05-07.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

ทั้งนี้ เจ้า “สารขาว” ที่ว่านี้คือ “กลูตาไธโอน (Clutathione)” ซึ่งสารนี้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก หรือใช้ในรูปแบบกรดอะมิโนที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่กลับมีการแอบอ้างนำมาใช้-นำมาแอบอ้างว่าทำให้ผิวขาว แล้วในเมืองไทยตอนนี้ก็ฮิตกันมากทีเดียว

สารกลูตาไธโอนนี้เพิ่งจะบูมและกล่าวถึงกันมากจากแรงโฆษณาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เพราะคนผิวคล้ำฉีดแล้วผิวขาวขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องเม็ดสีที่ทำให้เปลี่ยน โดยเฉพาะกับลูกตา ซึ่งถ้าใช้ไปนาน ๆ อาจมีผลต่อประสาทตา อาจทำให้ตามองไม่เห็นหรือเปล่า ตรงนี้ยังไม่มีผลยืนยันที่แน่ชัด” พญ.พรภุชงค์ เลาห์เกริกเกียรติ ระบุ

พร้อมทั้งให้ข้อมูลเชิงการแพทย์ผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ต่อไปว่า... กลูตาไธโอน หรือที่มีคนเรียกว่าสารขาวนี้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูง เมื่อเปรียบเทียบกับพวกวิตามินซี หรือวิตามินอี โดยสารชนิดนี้เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเม็ดสีในร่างกายมนุษย์ ทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง ซึ่งปกติสารชนิดนี้ก็มีเจือปนอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อ พืช ผัก และผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่มนุษย์เรากินเข้าไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ โดยปกติแล้วแพทย์จะใช้สารกลูตาไธโอนในปริมาณที่ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง แต่มีคลินิกหรือสถานเสริมความงามนำมาใช้ผสมกับวิตามินซีเพื่อฉีดให้ผิวขาวขึ้น

“การฉีดจะใช้สารกลูตาไธโอนในปริมาณความเข้มข้นสูง ซึ่งอันตรายหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ยังยืนยันชัดเจนไม่ได้ว่าปลอดภัย ยังยืนยันไม่ได้ว่านาน ๆ ไป 10 ปี 20 ปี เกิดการสะสมในร่างกายมาก ๆ จะเกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่-อย่างไร”

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังบอกอีกว่า... การใช้สารกลูตาไธโอนในลักษณะที่ว่านี้ ในประเทศไทย “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย.” หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หากนำมาใช้ก็ถือว่า “ผิดกฎหมาย” ซึ่งก็ไม่ทราบต้นตอ-ไม่ทราบว่าใครริเริ่มนำมาใช้ ยังไม่มีใครยืนยันชัดเจนเพราะเป็นสารตัวใหม่

“ที่ต้องระวังคือการแพ้ ซึ่งสารทุกตัวที่ฉีดเข้าเส้นเลือดสามารถทำให้เกิดการแพ้ได้หมด ก็ฝากให้ อย.กวดขันเรื่องนี้ และเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่เกินจริง” ...พญ.พรภุชงค์กล่าว

ทางด้านแหล่งข่าวในสายสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ก็บอกว่า... สารกลูตาไธโอนที่มีการนำไปใช้เป็นยาฉีดเข้าร่างกายนั้น ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนกับกองควบคุมยา หากมีการนำไปใช้ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งแม้จะเป็นตัวยานำเข้า หรือลักลอบซื้อมาจากต่างประเทศ ก็ถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น

“ขอเตือนประชาชน...อย่าเชื่อคำแอบอ้างว่าผ่าน อย.แล้ว...

ขอให้ระวัง...นี่อาจจะเป็นการทดลองยารูปแบบหนึ่ง !!”

...แหล่งข่าวกล่าวเน้น พร้อมทั้งแจกแจงต่อไปอีกว่า... การแอบอ้างว่าสารกลูตาไธโอนนี้ผ่านการรับรองจาก อย.แล้วนั้น ที่จริงเป็นเพียงการอนุญาตให้ใช้ในรูปแบบกรดอะมิโนที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ใช้กินร่วมกับวิตามินบำรุงร่างกายเท่านั้น ยังไม่เคยมีการอนุญาตให้ใช้เป็นยาเดี่ยว

“ไม่เคยมีการอนุญาตให้ใช้เป็นยาฉีดเข้าร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งการนำสารนี้มาฉีดเพื่อให้ผิวขาวถือเป็นผลทางอ้อม เป็นการนำผลข้างเคียงมาใช้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของสารชนิดนี้”

นอกจากนี้ ขอเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อโฆษณาใด ๆ ที่แอบอ้างว่าช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่ทำให้ผิวขาวได้ถาวร สารกลูตาไธโอนอาจจะช่วยได้ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็จะผลิตเม็ดสีตามปกติ และการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดในปริมาณมากเกินไปนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังจะให้โทษ เพราะสารทุกอย่างต้องได้รับในปริมาณที่พอเหมาะจึงจะไม่เกิดผลเสีย

“ที่สำคัญ สารตัวนี้จะไปหยุดการสร้างเอนไซม์เม็ดสีตามธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเสี่ยงมาก เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ยาเฉียบพลันรุนแรง จนช็อก และถึงขั้นเสียชีวิตได้ !!” ...แหล่งข่าวสาย อย.เตือน

ทั้งนี้ ธุรกิจรับทำขาวด้วยสารทำขาวนี้ สนนราคาค่าบริการนั้นถ้าซื้อเป็นคอร์ส ฉีด 10 ครั้ง ฉีด 10 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน ก็ตกประมาณ 30,000 บาทต่อคอร์ส แต่ถ้าคนเห่อทำขาวมีเงินน้อยแต่อยากฉีด ก็มีที่รับฉีดให้เป็นเข็ม ๆ เป็นครั้ง ๆ ไป โดยค่าบริการตกครั้งละประมาณ 4,000 บาท หรือบางแห่งราคาทั้งแบบเป็นคอร์สและเป็นครั้งอาจจะต่ำหรือสูงกว่านี้ แต่จะอย่างไรก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์จ่ายไม่ยาก...สำหรับคนอยากขาว

...แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง โรงพยาบาลพญาไท 3
อยากขาวจนยอมเสียเงิน-เป็นเหมือน “หนูทดลองยา”

จนอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการ “ช็อก-ตาบอด-เสียชีวิต !!”.


Sunday, January 25, 2009

ออกกำลังสมอง ต้านอัลไซเมอร์

โดย รศ.พ.ญ.วรพรรณ เสนาณรงค์

ความกังวลของลูกหลานที่มีต่อคุณตา คุณยาย หรือผู้สูงอายุที่บ้านมักมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโรคที่สัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้นอย่างอัลไซเมอร์


อัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อม (DEMENTIA ) ชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ซึ่งเกิดจากสารหลั่งในสมองที่เกี่ยวกับความจำลดลง และมีการตายของเซลล์สมอง พบว่า มีสารผิดปกติ อะมัยลอยด์ในสมองผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ทำให้การทำงานของสมองเสื่อมลงจนกระทั่งส่งผลกระทบ
ต่อกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย ในช่วง 8-10 ปี หลังจากเริ่มมีอาการและไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีอาการสมองเสื่อมรุนแรงยิ่งขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติแม้
กระทั่งการแปรงฟัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักพบในผู้สูงอายุ 65 ปี ขึ้นไป แต่อาจพบในผู้ที่อายุน้อยกว่าก็ได้ ซึ่งมักจะมีประวัติสมองเสื่อมในครอบครัวด้วย โรคนี้ต่างจากอาการสมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ตรงที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากเพียงแต่ประคับประคองไม่ให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว การดูแลรักษาประคับประคอง เช่น การบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง และรักษาจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เข้าร่วมสังคมสม่ำเสมอ และที่สำคัญ คือ ออกกำลังสมอง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ไม่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น



การออกกำลังสมอง

การออกกำลังสมอง หรือ นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยไม่ให้สมองเสื่อมเร็วกว่าวัย ทั้งนี้ การออกกำลังสมองเปรียบได้กับการออกกำลังของร่างกายที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ดังนั้น การออกกำลังสมองจึงเป็นเสมือนการฝึกให้สมองส่วนต่างๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อยๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ เปรียบเสมือน “อาหารสมอง” ที่ทำให้เซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ “เดนไดรต์” ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโตและเซลล์สมองแข็งแรง

เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง ก็จะทำให้เกิด “พุทธิปัญญา” อันหมายถึง ความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออกรวมไปถึง “การทำงานของสมองระดับสูง” คือ การคิด แก้ปัญหา หรือการตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้น ทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม เรียกง่ายๆ ว่า “สมองแข็งแรง” เหมือนการออกกำลังให้ร่างกายนั่นเอง

สำหรับหลักการออกกำลังสมองนั้น สามารถทำโดยส่งเสริมให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การได้ยิน มองเห็น การได้กลิ่น ลิ้มรส และการสัมผัส ได้ทำงานประสานเชื่อมโยงกับความพึงพอใจ หรือที่เกี่ยวข้องกับ “อารมณ์” (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม

ยกตัวอย่างเช่น มีการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น การพรวนดิน การเย็บผ้า เนื่องจากพฤติกรรมและการรับรู้ต่างๆ เกิดจากการทำงานประสานกันระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา การใช้มือข้างขวา สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการกระตุ้น ขณะที่สมองด้านขวาบังคับการทำงานมือซ้าย ดังนั้น เมื่อเราฝึกทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องใช้ร่างกายซีกซ้ายและขวาทำงานเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับช่วยให้สมองทั้งสองซีกได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

การออกกำลังสมองนั้น สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าอยู่บ้านสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ที่บ้านได้ เช่น ในขณะฟังเพลงอาจหลับตา เพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับดนตรีได้ดีขึ้น การปั้นตุ๊กตาด้วยดินน้ำมัน หรือประดิษฐ์ดอกไม้จากแป้ง ก็จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทางผิวหนังให้ได้รับรู้มากขึ้น

ในระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้ อย่างเมื่อต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางใหม่ที่รู้อยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้างแผนที่เส้นทาง
ชุดใหม่ขึ้นในสมอง หรืออาจเปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน ส่วนความเคยชินที่เปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น

ขณะทำงานก็อาจฝึกสมองไปด้วย เช่น เมื่อพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่ หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น หรืออาจจะชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ

น่าดีใจที่คนไทยตื่นตัวกับความผิดปกติที่เกี่ยวกับความจำมากกว่าแต่ก่อน ถือเป็นเรื่องดีที่ผู้ป่วยหรือญาติจะเอาใจใส่ สังเกตอาการผิดปกติมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการรักษา เพราะหากพบอาการผิดปกติเร็ว ยังไม่ร้ายแรง ก็จะสามารถรักษาได้ผลมากกว่าปล่อยทิ้งไว้นาน



  ©Template Blogger Green by Dicas Blogger.

TOPO