Monday, March 16, 2009

วิธีกันคิ้วสวย เพิ่มจุดเด่นบนใบหน้า

คิ้ว ช่วยให้ใบหน้าสวยโดดเด่นได้ไม่แพ้จุดอื่นบนใบหน้า แต่ทว่าการมีคิ้วที่เป็นเส้นสวยนั้น
สาวๆ อาจกำลังหาวิธีกันอยู่

สาวๆ หลายคนมีดวงตาสวยซึ้งแต่กลับปล่อยให้ขนคิ้วรกรุงรังมาบดบังความงามไว้ ขณะที่
บางคนผจญกับปัญหาหน้าโล้นเพราะขนคิ้วบางจัด แต่หากคุณได้อ่านเทคนิคการแต่งคิ้วง่ายๆ
จาก ริค ดิเกกกา Estee Lauder Global Premier Make up Artist ที่ How To
นำมาฝากในบรรทัดถัดจากนี้ไป รับรองว่าคุณจะมีคิ้วสวย ครบสูตร แน่นอน (คอนเฟิร์ม)


วัดหาเส้นคิ้วที่เหมาะสม


สำหรับการแต่งคิ้วนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกเริ่มจากการวัดหาเส้นคิ้วที่เหมาะสม ซึ่งคิ้วที่ได้รูป
สวยนั้นหัวคิ้วควรจะตรงกับแนวหัวตาแล้วจึงเป็นแนวโค้งขึ้น โดยจุดสูงสุดของคิ้วที่ โค้งขึ้นจะ
อยู่ตรงกับแนวของขอบตาดำด้านนอก ส่วนหางคิ้วจะไปสิ้นสุดตรงแนวเส้นที่ลากจากปีกจมูก
ผ่านหางตาออกไป และจะต้องไม่อยู่ต่ำกว่าหัวคิ้ว

Tips

สาวใบหน้ากว้าง มัก จะมีเครื่องหน้าที่ค่อนข้างใหญ่ จึงควรปรับหัวคิ้วให้รับกับสันจมูกโดยไม่
ควรให้รูปคิ้วหนามากและตรงมากเกิน ไป เพราะจะทำให้เส้นคิ้วยิ่งดูสั้นลง

สาวใบหน้ายาว ต้องแต่งรูปคิ้วให้ค่อนข้างหนาและไม่โค้งจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้า
ดูยาวมากขึ้น


กันคิ้วให้ได้รูป

สำหรับ สาวไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเบ้าตาแต่มักจะมีพื้นที่คิ้วเป็นปื้น ยิ่งขนคิ้วลามรกลงมาก็จะยิ่งทำให้พื้นที่บริเวณนี้แคบลงไปอีก แต่ถ้าได้กันคิ้วแล้วจะทำให้กระบอกตาดูกว้างขึ้นและใบหน้าดูสว่างสดใสยิ่ง กว่าเดิม โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

- ก่อนกันคิ้วให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นแตะเบาๆ เพื่อให้ขนคิ้วเกิดความชุ่มชื้น อ่อนตัว และเจ็บน้อยลง
- ควรนั่งตัวตรงมองเข้าหากระจกในระดับสายตา
- ใช้นิ้วแตะคิ้วดึงขึ้นในแนวดิ่งเพื่อให้เนื้อบริเวณคิ้วตึง อ้าปากเพื่อให้โหนกแก้มลดระดับต่ำลงเล็กน้อย
- ใช้มีดโกนที่มีความคมและด้ามจับถนัดมือกันย้อนแนวเส้นขน คือจากหางคิ้วเข้ามาทางหัวคิ้ว
เพราะหากกันตามแนวเส้นขนอาจจะหลงเหลือส่วนตอของเส้นขนคิ้วให้มองเห็นได้ โดยค่อยๆ
กันทีละน้อยหรือทีละเส้นจนคิ้วสวยงามได้รูป
- หากไม่แน่ใจแนวสวย ก่อนลงมืออาจใช้ดินสอเขียนคิ้ววาดเส้นโค้งเป็นแนวคิ้วที่ได้รูป
สวยงามไว้ ก่อน แล้วค่อยใช้มีดโกนกันเส้นขนคิ้วที่เกินแนวดินสอนั้นออกไป

เขียนคิ้วอย่างมีเทคนิค

- หลีกเลี่ยงการเขียนคิ้วตั้งแต่หัวคิ้ว เพราะจะทำให้คิ้วดูแข็งไม่เป็นธรรมชาติคล้ายกับการเขียนคิ้วถาวร โดยเริ่มจากการเขียนด้วยดินสอเบาๆ บนเส้นคิ้วห่างจากหัวคิ้วประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วไล้ไปตามเส้นขนคิ้ว ระวังอย่ากดดินสอจนถึงผิวหนัง จากนั้นใช้แปรงเขียนคิ้วเกลี่ยตามแนวเดิม

- ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยทับอีกครั้งเพื่อให้เส้นขนดูนุ่มนวลขึ้น และฝุ่นของอายแชโดว์จะช่วยทำให้หางคิ้วไม่หายไปในระหว่างวัน
- ใช้แปรงเขียนคิ้วเท่าที่มีสีติดอยู่ ไม่ต้องจุ่มสีใหม่ เกลี่ยย้อนมาทางหัวคิ้วให้เบลอหายมาทางสันจมูก
- วัดความยาวของหางคิ้ว โดยใช้พู่กันทาบจากปลายจมูกมาทางหางตา วาดหางคิ้วมาจบตรงนั้นจะเป็นสัดส่วนคิ้วที่สวยงาม

สีคิ้วเนียนเป็นธรรมชาติ

หาก สาวๆ คนไหนอยากให้หน้าดูเด็กลงมีเทคนิคง่ายๆ โดยเลือกใช้อายโบรว์สีอ่อน ส่วนสีคิ้วเข้มจะทำให้ใบหน้าแลดูสุขภาพดี สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือการใช้ดินสอเขียนคิ้วสีดำเพราะจะทำให้หน้าดุและดู สูงอายุแถมบางครั้งยังดูหลอกตาด้วย

อย่างไรก็ดี การเลือกสีคิ้วให้คำนึงถึงสีผมด้วย สี ที่ธรรมชาติที่สุดคือการดึงสีผมในส่วนที่เข้มที่สุดมาใช้เป็นสีคิ้ว เช่น ผมสีน้ำตาลเข้มไฮไลต์สีบลอนด์ให้จับสีน้ำตาลเข้มมาปรับเป็นสีคิ้วได้ แต่ต้องดูความเหมาะสมกับคิ้วเดิมด้วย เพื่อไม่ให้ขัดกับความเคยชิน


Tips

สีคิ้วที่สวยเสมอสำหรับคนไทยคือสีน้ำตาล เพราะเป็นสีที่ทำให้ดูสดใสและใบหน้าอ่อนเยาว์เสมอ แนะนำให้ใช้มาสคาราสีน้ำตาลปัดขนคิ้ว เพราะนอกจากจะได้สีสวยแล้วยังเป็นการจัดทรงคิ้วไปในตัวด้วย

เทคนิคการปรับสีคิ้วทำได้ 2 วิธี คือ เขียน ลงไปบนผิวหนังใต้คิ้วเหมาะกับการทำให้สีคิ้วเข้มขึ้นหรือการเติมคิ้วให้เต็ม แต่หากต้องการลดความเข้มของคิ้วให้ใช้อายโบรว์สีน้ำตาลอ่อนแทน


เลือกผลิตภัณฑ์แต่งคิ้ว

- แบบดินสอ จะเขียนถนัดมือ ปลายที่แหลมทำให้เขียนหางคิ้วได้คมชัด เหมาะสำหรับสาวคิ้วบาง
- แบบเนื้อฝุ่น จะช่วยเติมคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติและดกหนาขึ้น แถมยังช่วยเติมช่องว่างระหว่างคิ้วได้ด้วย
- แบบเนื้อเจล จะช่วยให้ขนคิ้วเรียงตัวสวยได้ตลอดวัน

รู้เทคนิคดีๆแบบนี้แล้ว ก็อย่าลืมไปลองหัดเขียนคิ้ว แต่งคิ้วกันนะคะ สาวๆ

เคล็ด(ไม่)ลับ รู้ไว้ก่อนอาบแดด


ยังมีคุณๆ ผู้หญิงอีกมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทาครีมกันแดดป้อง กันมะเร็งผิวหนัง เฮเลน ฟอสเตอร์ บอกไว้


1.รอให้ถึงหาดก่อนค่อยทาครีมกันแดด

น.พ.ซันดีป คลิฟ แพทย์ที่ปรึกษาด้านผิวหนังจากโรงพยาบาลอีสต์ เซอร์เรย์ บอกว่า ไม่จริง ควรทาครีมกันแดดก่อนหนึ่งรอบก่อนออกแดด และทาทับเมื่อไปถึงจุดหมาย

2.ผิวสีเข้มไม่เป็นไร

แม้คนที่มีผิวขาวหรือมีไฝฝ้าเยอะจะเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังที่สุดก็จริง แต่ไม่มีใครรอดพ้นโดยสิ้นเชิง มีข้อมูลว่า 1 ใน 5 ผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนม่า คือผู้ที่มีผิวดำหรือน้ำตาลอย่างชาวเอเชีย

3.ค่า SPF คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในครีมกันแดด

ค่า SPF จะบ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์กันแดดนั้นป้องกันผิวจากรังสียูวีบีได้มากน้อยแค่ไหน แต่ปัจจุบันพบว่า รังสียูวีเอก็ส่งผลร้ายต่อผิวหนังได้เช่นกัน

4.ครีมกันแดดยิ่งแพงยิ่งดี

พ.ญ.ซูซาน เมยู จากคลินิกคาโดแกน แห่งลอนดอนบอกว่า ตราบเท่าที่ครีมกันแดดราคาถูกมีค่า SPF และค่าการปกป้องรังสียูวีเอสูงพอ ก็สามารถให้ผลได้ดีไม่แพ้ครีมราคาแพง

5.ถ้ากลัวผิวไหม้ใส่เสื้อยืดลงว่ายน้ำ

พ.ญ.ซูซาน เวนเคิล แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริด้าระบุว่า เสื้อยืดสีขาวป้องกันรังสียูวีได้เท่ากับการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 7 แต่ค่าการป้องกันจะลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อผ้าเปียก

6.หมวกแก๊ปป้องกันแดดได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันแสงแดดจากสหรัฐอเมริกาบอกว่า ปีกหมวกที่กว้างเพิ่มขึ้น 1 นิ้ว ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังลงได้ถึง 10%

7.แค่ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ก็ตากแดดได้ทั้งวัน

ไม่มีครีมกันแดดชนิดใดกรองรังสียูวีได้หมด แม้กระทั่งครีมที่มีค่า SPF ถึง 30 ก็ยังดักจับรังสีได้เพียง 97%

8.ทาครีมกันแดดร่วมกับยากันยุง

งานวิจัยพบว่า การทายากันยุงซึ่งมีส่วนผสมของ DEET ทับครีมกันแดดจะลดค่า SPF ลงถึง 30%

9.กางร่มแล้วไม่ต้องทาครีมกันแดดก็ได้

รังสียูวีแผ่ลงมาจากท้องฟ้าก็จริง แต่พื้นดินหรือทรายก็สะท้อนกลับได้เช่นกัน ประมาณ 20%

10.นอนเตียงอาบแดดทำผิวสีแทนก่อนไปตากอากาศ

การใช้เตียงอาบแดดเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดที่เกิดขึ้นในเซลล์หนังกำพร้าเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า และเสี่ยงต่อมะเร็งเมลาโนม่าเพิ่มขึ้น 55%

30 เคล็ดลับในการแต่งหน้ารับซัมเมอร์

1. อากาศร้อนแล้วสาวๆ อาจไม่อยากแต่งหน้าแข่งกับอุณหภูมิที่สูงปรี๊ด ทำให้เทรนด์การแต่งหน้าบางใสเน้นเผยผิวที่แท้จริงมาแรงในช่วงนี้

2. ช่วงนี้ถ้าได้ยินคำว่า “แต่งหน้านู้ด” จำไว้เลยว่า สาวผิวขาวควรใช้เฉดสีชมพูช่วยให้ผิวดูขาวเปล่งปลั่ง ส่วนสาวผิวสีให้ใช้เสน่ห์ของประกายทองเพิ่มความสดใสยิ่งขึ้น

3. สาวไทยจะแต่งหน้านู้ดอาจไม่มั่นใจ เพราะใบหน้าดูไม่ค่อยมีมิติเหมือนสาวฝรั่ง ลองหาแป้งชิมเมอร์สีอ่อนมาไล้บริเวณสันจมูก กลางหน้าผาก และปลายคาง ช่วยเน้นโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้นได้

4. “ลิปสติกสีนู้ด” ของคนผิวขาว หมายถึง สีเบจอมชมพูอ่อนหรือเจือส้มแอปริคอทนิดๆ (ทาแล้วต้องไม่ดูซีดจนเหมือนคนป่วย) หากสีผิวเข้มปานกลางก็เพิ่มโทนสีน้ำตาลปนชมพูขึ้นมาอีกระดับ แล้วเติมกลอสใสทับให้ดูสว่างสดใส สุดท้ายสาวผิวเข้มใช้สีน้ำตาลอมส้มผสมชิมเมอร์ที่สร้างมิติให้เรียวปากอิ่มเอิบและเซ็กซี่ราวกับสาวละติน

5. ถ้าตากแดดจนริมฝีปากคล้ำเกินงาม ก่อนทาลิปสติกให้ลงคอนซีลเลอร์หรือรองพื้นบนริมฝีปาก เพื่อปรับสีผิวให้อ่อนลง แล้วค่อยบรรเลงสีตามใจชอบ

6. แต่งตัวสีสันฉูดฉาดรับร้อนแล้ว สีสันของเมคอัพก็ไม่จำเป็นต้องจัดจ้าน โดยเฉพาะดวงตา แค่ไล้อายแชโดว์สีขาวหรือสีพาสเทลเป็นละอองบางๆทั่วเปลือกตา แล้วเพิ่มความโดดเด่นของสีที่บริเวณหัวตา ปิดท้ายด้วยการปัดมาสคาราสีดำทั้งขนตาบนและล่าง แค่นี้ก็ช่วยให้ดวงตาดูกลมโตขึ้นอีกเยอะ

7. เดี๋ยวนี้แป้งฝุ่นแบรนด์ไหนๆก็ขอผสมมิเนอร์รัลไว้ก่อน เพราะเนื้อแป้งจะบางเบานวลเนียนเป็นธรรมชาติ แถมทำให้ผิวดูสว่างกระจ่างใสขึ้นโดยเฉพาะเวลาต้องแสงแดด

8. แสงแดดแผดเผาอาจทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำระหว่างวัน ลองใช้เบสรองพื้นก่อนแต่งหน้าที่ผสมประกายมุก ช่วยให้สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอและปรับผิวให้แลดูเปล่งปลั่ง แถมใช้แล้วแป้งยังติดทนอีกด้วย

9. หยิบยืมไอเดียสีสันจากธรรมชาติอย่าง ฟ้าของท้องทะเล ขาวนวลราวกับเปลือกหอย หรือสีทองยามพระอาทิตย์ตก มาเป็นโทนสีสันเมคอัพของสาวๆริมหาดกัน

10. ร้อนขนาดนี้คงไม่อยากได้แป้งที่หนาเตอะ ให้ใช้แปรงขนาดใหญ่แตะแป้งฝุ่นเล็กน้อย แล้ววนแปรงลงบนฝาของตลับแป้งเพื่อให้เนื้อติดแปรงในปริมาณที่พอเหมาะ จากนั้นนำมาปัดผิวหน้าใบลักษณะวนเป็นวงกลม จะช่วยให้แป้งติดผิวได้ดีและไม่หนาเกินไป
11. เตรียมเครื่องสำอางไปทะเล แนะนำว่าให้หาเครื่องสำอางแบบสารพัดประโยชน์ชนิดที่ทาได้ทั้งแก้ม ตา และปาก จะได้พกความสวยไปได้ทุกที่

12. เบื่อผิวขาวแบบเดิมๆ ลองเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการหาแอร์บลัชมาสเปรย์เปลี่ยนสีผิวเป็นสีแทน เซ็กซี่ โดยไม่ต้องไปอาบแดดให้ผิวเสียกันบ้างดีกว่า

13. ใบหน้าเป็นประกายด้วยบรอนเซอร์จะกลับมาเสมอในทุกๆหน้า หลังจากแต่งหน้าเสร็จ เพียงใช้แปรงขนาดใหญ่ปัดบรอนเซอร์บริเวณจุดที่แสงตกกระทบ ได้แก่ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง ปลายจมูก อาจปัดเลยไปถึงเนินอกด้วยก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์ดูเซ็กซี่

14. เลือกอย่างใดเพียงอย่างหนึ่งเท่านั้นว่า ต้องการให้หน้าสว่างด้วยประกายบรอนเซอร์ หรือจะเน้นเฉพาะตาด้วยการไล้อายแชโดว์สีทองหรือสีสว่าง เพราะถ้าทำ 2 อย่างพร้อมกันจะหาจุดเด่นบนใบหน้าไม่เจอ

15. ริมฝีปากฉ่ำระเรื่อเอาท์ดอร์เหมือนสาวสุขภาพดีด้วยลิปกลอสสีแดงกุหลาบ เคล็ดลับอยู่ที่การทาลิปกลอสบางๆให้ทั่วริมฝีปาก แล้วทาทับบริเวณกึ่งกลางริมฝีปากอีกครั้ง

16. แก้มแดงเหมือนหญิงสาวที่กำลังเขินอายยังคงฮิตตลอดกาล แนะนำให้ปัดบลัชออนก่อนปัดแป้งฝุ่น เพื่อให้ดูแนบเนียน สำหรับช่วงซัมเมอร์ อาจปัดบริเวณจมูกเบาๆเพิ่มด้วย

17. แตะชิมเมอร์สีชมพูอ่อนๆบนรอยหยักของริมฝีปาก หลังจากทาลิปสติกแล้วจะช่วยให้ปากดูได้รูปน่ารักขึ้น แถมถ่ายรูปกับแก๊งเพื่อนออนเดอะบีชแล้วออกมาสวยด้วย

18. จะไปว่ายน้ำทั้งที ไม่อยากเผยให้เห็นใบหน้าอันหน้าซีดเซียว ให้หาทินท์แต้มริมฝีปากและพวงแก้มให้ดูสดใสแม้จะเปียกน้ำก็ไม่กลัว 19. รันเวย์ซีซั่นนี้สีม่วงมาแรงทั้งเมคอัพและเสื้อผ้า ฉะนั้นตอนกลางวันอาจทาอายแชโดว์สีม่วงไลแลคอ่อนๆดูสบายตา พอกลางคืนค่อยแปลงร่างเป็นสาวมั่น เพียงเติมสีม่วงเข้มบนเปลือกตาแบบสโมกกี้อายส์สุดเลิศ

20. ขนตาปลอมยังคงฮอตอยู่ แต่ขอเป็นแบบช่อเล็กๆมาติดแซมให้ขนตาดูดกหนาขึ้นจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

21. สำหรับบีชปาร์ตี้มันส์ๆ จะติดขนตาปลอมเฉพาะหางตา หรือเล่นสีสันให้แปลกตาก็เก๋มากๆ

22. ลุคเปรี้ยวของฤดูกาลนี้ ต้องริมฝีปากแดงมันวาวเหมือนเคลือบพลาสติก แต่ส่วนอื่นของใบหน้าขอเป็นแบบนู้ดๆจะดีกว่า

23. เก็บลิปไลเนอร์เข้ากรุไปก่อน เพราะช่วงนี้ต้องทาลิปสติกให้เส้นขอบดูฟุ้งๆ เทคนิคอยู่ที่ทาลิปสติกเว้นขอบไว้เล็กน้อย แล้วค่อยใช้พู่กันเกลี่ยสีออกมาให้ใกล้ขอบปาก

24. การเขียนขอบตาล่างของซีซั่นนี้ ยกให้ดินสอสีอ่อนผสมประกายมุกจะดูสบายๆมากกว่า 25. กรีดอายไลเนอร์หลังจากลงสีอายแชโดว์อาจดูหนักไปสำหรับร้อนนี้ ลองเปลี่ยนเป็นกรีดอายไลเนอร์ก่อนแล้วใช้แปรงแต้มอายแชโดว์สีอ่อนแตะบนเปลือกตาเบาๆ (ทับอายไลเนอร์ได้) ก็ทำให้เส้นอายไลเนอร์ดูซอฟขึ้นและสวยไม่แพ้เทคนิคเดิมๆเลย

26. แค่แสงอุลตร้าไวโอเลตอย่างเดียวก็ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำจะแย่ อย่าซ้ำเติมตัวเองด้วยการปล่อยให้คิ้วรกจนไม่ได้รูป หามีดกันคิ้วหรือแหนบมาถอนออกเสียบ้าง แล้วหามาสคาราปัดคิ้วหรือที่เขียนคิ้วเนื้อฝุ่นสีน้ำตาลอ่อนหรือทองมาปัดย้อนแนวขนคิ้วก่อน (สีจะได้ติดครบทุกเส้น) แล้วค่อยปัดกลับมาตามรูปเดิมอีกครั้งให้เรียงเส้นสวยงาม ใบหน้าจะดูสว่างขึ้นเยอะ

27. อยากคิ้วโก่งดูเซ็กซี่ อย่าลืมใช้ปลายนิ้วแตะชิมเมอร์เพื่อไฮไลท์โหนกคิ้วให้เด่นชัดและได้รูป

28. ถ้ารู้สึกว่าใบหน้าร้อนจนเหนียวเหนอะหนะ แค่หาสเปรย์น้ำแร่มาฉีดเรียกความสดชื่น แล้วใช้ทิชชู่ซับเบาๆโดยไม่ต้องแต่งหน้าใดๆเพิ่ม

29. ระหว่างวันอย่าลืมสำรวจใบหน้าว่ามันเยิ้มหรือเปล่า เพราะนอกจากดูไม่ดีแล้วความมันยังทำให้เมคอัพที่แต่งมาซีดจางอีกด้วย

30. ไม่ควรละเลยที่จะมองหาเครื่องสำอางผสมสาร SPF แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดดได้เหมือนกัน

Sunday, March 15, 2009

Clip Gutathione อันตรายถึงชีวิต การฉีดสาร ทำให้ ผิวขาวใส

เคล็ดลับผิวขาว...ใส

การปล่อยปละละเลยให้ผิวชำรุดทรุดโทรม

จน ดูร่วงโรยก่อนวัย แม้เครื่องสำอางชั้นดีแค่ไหนก็ยากที่จะเรียกความสดใสกลับคืนมาได้ นอกเสียจะช่วยไม่ให้คุณมีริ้วรอยมากไปกว่านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณส่วน ใหญ่ แนะนำว่าการดูแลผิว ต้องใส่ใจกันตั้งแต่วัยสาวๆนี่แหล่ะค่ะยิ่งเริ่มเร็วเมื่อไหร่ ก็จะยิ่งยืดความเสื่อมของเซลล์ไปได้มากขึ้น ลองมาดูเทคนิค 5 ข้อ เพื่อช่วยรักษาผิวสาวให้ดูสดใสไปนานๆค่ะ

1. ทาครีมกันแดด

่ผู้ รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติคทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก

จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน

ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไปส่วน การขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันคลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น




2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย


ผู้ เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบ นอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน

เกิดริ้วรอยมากกกว่าอีกด้าน

ยิ่ง พวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้ เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้




3. กินอาหารดีๆ

อาหาร ที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอ การเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว

ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนัง ให้เสื่อมก่อนวัยอันควร

4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือน

การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย


5. รู้จักผ่อนคลาย

ความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัข
ของคุณ ก็ช่วยคลายเครียดได้

สูตรพอกหน้า สำหรับสาวนักเที่ยวไม่ให้โทรมข้ามปี

สำหรับสาวๆ ที่กังวลกับอาการอักเสบของสิว และรอยดำใต้ขอบตา ที่เป็นของแถมมาพร้อมการนอนดึกและปาร์ตี้จนเหนื่อย แนะนำ มาส์กสลัดผัก เหมาะสำหรับคนผิวมัน ช่วยให้ใบหน้าสดใส และช่วยให้ค่า ph บนใบหน้ามีความสมดุลมากขึ้น

ส่วนผสม
มะเขือเทศ 1/2 ลูก
แตงกวา 1/2 ถ้วย
พารสลีย์ 2 ช้อนโต๊ะ
เลมอนคั้งเฉพาะน้ำ 1 ช้อนชา
ไข่ขาว 1 ฟอง

วิธีทำ
นำมะเขือเทศ แตงกวา และพาร์สลีย์ ปั่นจนเข้ากัน แล้วแยกกากออก เหลือแต่น้ำ จากนั้นผสมน้ำเลมอนและไข่ขาวลงไป ปั่นให้เข้ากันอีกครั้ง ก่อนนำมาใช้มาร์กหน้า ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงค่อยลอกออก

ปล. อย่าลืมล้างผักด้วยน้ำยาสำหรับล้างผักให้สะอาดก่อนนะคะ เพราะสารพิษจากยาฆ่าแมลงอาจตกค้างอยู่บนผิวหน้าเราได้


สำหรับสาวที่ปาร์ตี้ไม่จัดมาก แต่อยากบำรุงให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสอยู่เสมอ ต้องสูตรนี้ค่ะ
มาสก์สลัดผลไม้ เหมาะกับคนผิวผสมถึงแห้ง ช่วยให้ผิวหน้าได้รับประโยชน์จากวิตามินซี ส่วนโยเกิร์ตและน้ำผึ้งช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น

ส่วนผสม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย
กล้วย 1/2 ลูก
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
แอปเปิ้ลเขียว 1/2 ลูก (ปอกเปลือกหั่นลูกเต๋า)

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมด ปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สวยด้วยขมิ้นสด

ส่วนผสม
- ขมิ้นสด (เล็กน้อย)
- ดินสอพอง 2-3 เม็ด
- มะนาว 1 ผล

วิธีทำ
นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาวจนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้น และเหนียว นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้

ขมิ้นสด


ถ้าใครอยากมีผิวหน้าที่ดูดี ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

บำรุงผิวด้วยโลชั่นผลไม

การบำรุงผิวหน้าด้วยการ ใช้มะละกอสุกบดละเอียดประมาณ 2 ช้อนชา พอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำวันละครั้ง ผิวหน้าจะเนียนขึ้น และช่วยลดริ้วร้อยได้ด้วย

พอกหน้า, บำรุงผิว



โลชั่นน้ำผลไม้ ใช้ น้ำแตงกวา มะเขือเทศ มะนาว และแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า น้ำผลไม้ผสมสูตรนี้จะช่วย สมานผิวและกระชับรูขุมขนเหมือนกับการใช้โทนเนอร์

มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง ใช้ น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วย ไฟอ่อน ๆ ประมาณ ครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงเช็ดออกด้วยสำลีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จะรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น วิธีนี้ช่วยกำจัดสิวหัวดำและจุลินทรีย์ที่หมักหมมอยู่ตามขุมชนได้หมดจด ช่วยให้เลือดลม เดินดีขึ้นด้วย

โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม ใช้เปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผล ล้างให้สะอาดแล้ว หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทน โลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละออง ที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้า ด้วย โลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถใส่ขวดเข้าตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้นาน

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวยก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

สูตรหน้าใสไร้สิว

1. น้ำผึ้ง 1 ชอนโต๊ะ
2. ใข่ไก่ (เฉพาะใข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ)
3. มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
4. ผ้าชุบน้ำอุ่น
5.น้ำเย็นจัด 1 แก้ว


- นำผ้าที่ชุบน้ำอุ่นโป๊ะที่บริเวณใบหน้า
- หลังจากนั้นนำส่วยผสมทั้งหมดคนให้เข้ากัน ทาที่ใบหน้า 5 - 10 นาที
- จากนั้นล้างหน้าปกติ ตามด้วยน้ำเย็นจัด
- ชับหน้าให้แจ้งใบหน้าของคุณจะนิ่มทันที
- หลังจากนั้นให้ทาโลชั่นทันทีใบหน้าจะกระชับ
- คุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง
- ทำอาทิตย์ละ 3 ครั้งก็พอ

สูตรโดยคุณ กัญญาณัฐ

8 tips ทำความสะอาดใบหน้า.

สิ่งสำคัญที่สุดของใบหน้าคุณ คือ การมีใบหน้าที่สดใส ปราศจากความมันบนใบหน้า เต่งตึง อิ่มเอิบไม่หยาบหรือแห้งกร้าน เคล็ดลับในการทำความสะอาดผิวหน้า ลองเสียเวลาสัก 15 นาทีในตอนเช้าและเย็นทำดูนะค่ะ ขอบอกดีจริงๆ


ทำความสะอาดผิวหน้า, ล้างหน้า, หน้าสดใส

tips1
ใช้นมสด ที่ไม่ได้ผ่านความร้อน แตะบนสำลี หมุนวนบนใบหน้า คอ แก้ม 15 นาทีล้างออกด้วยน้ำเย็น


tips2
แตงกวาฝาน นำมาเช็ดวนเป็นวงกลมเบาๆบนใบหน้า 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น


tips3
ฝานมะเขือเทศครึ่งลูก นำมาวนๆบนใบหน้า คอ 15 นาที และล้างออกด้วยน้ำเย็น


tips4
มะนาวฝาน นำมาคลึงๆ ค่อนข้างแรง บนหน้า หรือคอ แต่แนะนำให้ทำ 3-4 วันครั้ง ภายหลังจากที่ล้างหน้าด้วยนม หรือผลเหล่านี้แล้ว ให้ใช้ oat bran หรือ besan ผสมน้ำเปียกๆ แล้วล้างพร้อมถูเบาๆ เพื่อขจัดเซลที่ตายออก ห้ามใช้สบู่ ใช้แต่น้ำเย็นที่สะอาด


tips5
ใช้แป้งข้าวเจ้า ทำความสะอาด ถ้าหน้ามัน ใช้มะนาวช่วย


tips6
ใช้ buttermilk นวดคลึงบริเวณใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


tips7
ใช้ก้อนน้ำแข็งธรรมดา คลึงและล้างใบหน้า


tips8
วางแอปเปิลฝานบางๆ บนใบหน้าคุณ ทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อทำให้หน้าเต่ตึงกระชับ แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นธรรมดา

วิธีทำให้ผิวขาว

สูตรหน้าขาว-ใส มาแล้วจ้า
สูตรที่1.
ส่วนผสม 1.น้ำผึ้งประมาณ 6 ช้อนชา 2.มะขามเปียก(ไม่ต้องเอากากนะ) 3.นมจืด 6 ช้อนชา
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งสามมารวมกัน พอกหน้าทิ้งไว้ 15 น.
ทำอาทิตย์ละ 2-3ครั้ง

***********************
สูตรที่2.
ส่วนผสม 1.ไข่ไก่2-3ใบ(เอาแต่ไข่แดงนะ) 2.มะนาว2ช้อนชา
วิธีทำ นำไข่แดงมาผสมกับน้ำมะนาวตีให้เข้ากันทาทิ้งไว้5-10น.
ทาครีมบำรุงเพื่อให้ผิวหน้าชุ่มชื่นด้วยจ้า
ทอาทิตย์ละ2ครั้ง

************************
สูตรที่3.
ส่วนผสม 1.หัวไซเท้า
วิธีทำ ปอกเปลือกหัวไซเท้าแล้วล้างออก ฝานบางเฉียบแล้ววางลงบนใบหน้า
ทิ้งไว้ 15น.ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำอาทิตย์ละ 2ครั้ง

**************************
สูตรที่4.ส่วนผสม 1.แอปเปิ้ลแดง(ไม่ปอกเปลือก) 2.นมสด
วิธีทำ นำส่วนผสมทั้ง2อย่างมารวมกันดูปริมาณที่สมดุลกัน
แล้วนำมาทาหน้าทิ้งไว้ 2. น.แล้วล้างออก
ทำอ่ทิตย์ละ2-3ครั้ง

****************************
สูตรที่5.
ส่วนผสม 1.มะเชือเทศ 2.แตงกวา
วิธีทำ นำมะเขือเทศมาบดให้ละเอียดแล้วมาทาบนใบหน้า เอาแตงกวามาแปะตาไว้จะได้ไม่เป็นหมีแพนด้า

*************************

Friday, March 13, 2009

มาดื่มนมออร์แกนิก กันเถอะ Milk

The image “http://www.zheza.com/uploads/userimages/20071119/094240_73.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.
ใครๆก็รู้จักว่า “ นม ” นั้นดีต่อสุขภาพเพียงใด และเป็นอาหารชนิดแรกที่คนเรากินได้ตั้งแต่แรกเกิด แหล่งที่มาของน้ำนม นอกจากมารดาแล้วก็ได้มาจากสัตว์ เช่น นมแพะ นมโค แต่ที่นิยมและนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนใหญ่มักเป็นนมวัว โดยบรรจุกล่องเป็นยูเอชที นมพาสเจอร์ไรซ์ นมพร่องมันเนย ซึ่งคุณค่าอาหารที่ได้จากน้ำนมก็แตกต่างกันออกไป

ความต่างของผลิตภัณฑ์นมสดที่ทำจากนมวัวนั้นแตกต่างกัน ในเรื่องของกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้คุณค่าสารอาหารในนมแตกต่างกันไปด้วย ผลิตภัณฑ์นมสดที่จำหน่ายใน ท้องตลาดมีทั้งนมสดธรรมดา เรียกว่า “ นมสดครบถ้วน ” ส่วนนมสดที่แยกมันเนยออกบางส่วนเรียกว่า “ นมสดพร่องมันเนย ” สุดท้ายคือนมที่แยกมันเนยออกเกือบหมด เรียกว่า “ นมสดขาดมันเนย ”

นมสดเหล่านี้จะถูกนำไปผ่านกระบวนการความร้อน เพื่อทำลายจุลินทรีย์ด้วยวิธีต่างๆ เริ่มจากนมพาสเจอร์ไรซ์ ( Pasteurized Milk ) จะผ่านกระบวนการฆ่า เชื้อด้วยความร้อนระดับต่ำที่ 63 - 72 องศาเซลเซียส รสชาตินมจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิมสักเท่าไรมีอายุการเก็บได้ไม่กี่วัน และต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา ส่วนนมสดสเตอริไลซ์ ( Sterilized Milk ) ผ่านความร้อนระดับสูงตั้งแต่ 115 - 130 องศาเซลเซียสนาน 10 -3 0 นาที ทำให้กลิ่นนมมีกลิ่นไหม้และมีสีขาวอมเหลือง ทั้งยังสูญเสียวิตามินบี 1 ประมาณ 1 ใน 3 และวิตามินบี 12 อีกครึ่งหนึ่ง

สำหรับ นมสดยูเอชที ( Ultra-heat Treated Milk ) ผ่านความร้อนสูงมากตั้งแต่ 132 องศาเซลเซียสขึ้นไปภายในเวลาสั้นๆ (อย่างน้อย 1 วินาที) ด้วยการใช้ความร้อนสูงและใช้เวลานิดเดียวนี่เองจึงทำให้นมมีอายุการเก็บยาวนาน ไม่มีกลิ่นต้ม และคุณค่าทางอาหารถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปัจจุบันมีผู้ผลิตบางรายที่เล็งเห็นถึงคุณค่าของนมวัว และอยากให้ผู้รับดื่มนมได้ดื่มนมที่มีคุณภาพและปลอดสารพิษ จึงมีการทำ “ นมออร์แกนิกหรือนมปลอดสารพิษ ” ขึ้นมา โดยการทำนมออร์แกนิกนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ดินที่ปลูกหญ้าและธัญพืช ซึ่งเป็นอาหารของวัว ต้องปลอด จากสารเคมีและสารพิษตกค้าง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์แทนการใช้ปุ๋ยเคมี ธัญพืชที่ให้วัวกินจะต้องไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ นมวัวที่ได้จึงเป็นนมปลอดสารพิษอย่างแท้จริง จากนั้นนำมาพาสเจอร์ไรซ์เป็นนมสด รสธรรมชาติ และปรุงแต่งรสชาติ ทั้งรสหวาน รสสตอรว์เบอร์รี่ รสช็อกโกแลต ฯลฯ ให้เลือกดื่มตามความชอบอีกด้วย ในส่วนของราคาก็พอๆ กับนมสดทั่วไป แต่ที่มั่นใจได้คือ ไม่มีสารพิษตกค้างให้รู้สึกกังวลใจในภายหลัง

สำหรับคุณค่าในนมสดประกอบด้วย โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 (ไทอามีน) วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) ไนอะซิน วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ธาตุฟอสฟอรัส และสังกะสี มีไขมันชนิดอิ่มตัวร้อยละ 60 และไขมันชนิดไม่อิ่มตัวร้อยละ 40

นมสดครบถ้วนนั้นเป็นนมสดที่ถือเป็นอาหารที่สมบูรณ์ เพราะมีสารอาหารหลากหลายทั้งโปรตีน แคลเซียม สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ไอโอดีน และไนอะซิน ในปริมาณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งต่างจากนมสดพร่องมันเนย ซึ่งถูกขจัดมันเนยออกไปร้อยละ 50-60 เปอร์เซนต์ จึงให้พลังงานน้อยกว่านมสดครบถ้วน ซึ่งไม่ควรนำมาใช้เลี้ยงทารก หรือเด็กเล็ก ส่วนนมขาดมันเนยจะให้พลังงานเพียงครึ่งเดียวของนมสดครบถ้วน แต่มีวิตามินและแร่ธาตุใกล้เคียงกัน

ประโยชน์ของนมที่เห็นได้ชัดเจนคือ ช่วยบำรุงกระดูก เนื่องจากนมมีแคลเซียมสูง ซึ่งร่างกายนำไปสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง หากร่างกายได้รับแคลเซียมน้อยตั้งแต่ วัยเด็กและวัยรุ่นจะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้ในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า คนสูบบุหรี่ที่ดื่มนมเป็นประจำจะเป็นโรคถุงลมอักเสบน้อยกว่าคนสูบบุหรี่ที่ไม่ดื่มนมถึง 60 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะนมมีสารบางชนิดช่วยป้องกันเซลล์ผิวชั้นนอกของถุงลมมิให้ได้รับอันตรายจากการสูบบุหรี่

นอกจากนั้นการดื่มนมเพียงหนึ่งแก้วก่อนนอนยังช่วย ให้นอนหลับง่าย ซึ่งเป็นผลมาจากกรดอะมิโนทริปเฟน ( Tryptophan ) ที่อยู่ในนมนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม สารไทโรซิน ( Tyrosine ) ในสมองซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการผลิตโดปามีนและนอร์เอพิเนฟรีน เป็นผลให้สมองคิด ไวและมีความจำดีขึ้นอีกด้วย

สำหรับคนที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องเสีย ที่เรียกว่า แพ้แล็กโทส ที่อยู่ในนม วิธีแก้อาการเหล่านี้คือ ให้เริ่มดื่มนมในปริมาณน้อยๆ แล้ว ค่อยๆ เพิ่มปริมาณการ ดื่มมากขึ้นอย่างช้าๆ อาการท้องเสียก็จะหายไปในที่สุด นอกจากนี้การดื่มนมปรุงแต่งรสจะไม่ทำให้เกิดอาการ แพ้มากเท่ากับการดื่มนมสด เนื่องจากนมเหล่านี้จะผ่านเข้าสู่ระบบของร่างกายช้ากว่านมสด

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใดหรือเพศใดก็ดื่มนม ได้ทุกวันและทุกเวลา และคงไม่มีใครปฏิเสธคุณค่าของนมที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้อยู่กับคุณไปได้อีกนานนาน


ที่มา : กูร์เมท์ แอนด์ ควีซีน

ฉี่บ่อยระวังโรคร้ายถามหา

การปัสสาวะบ่อย ๆ นอกจากจะรบกวน การดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางชนิดที่ทุกคนจะต้องพึงระวัง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์ หน่วยศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลเลิดสิน อธิบายว่า อาการปัสสาวะบ่อย ในทางการแพทย์ หมายถึง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งในตอนกลางวัน หรือ มากกว่า 2 ครั้งในตอนกลางคืนหลังเข้านอน

คนที่อายุมากขึ้น โอกาสพบปัสสาวะบ่อยก็มากขึ้นด้วย โดยคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ 4% ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสพบถึง 15% ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อยในคนหนุ่มสาวมักจะหาสาเหตุได้ง่ายกว่าในผู้สูงอายุที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ
http://www.yenta4.com/webboard/upload_images/1276713.jpg

ปัจจัยหรือสาเหตุของอาการปัสสาวะบ่อยมีดังนี้

กลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรค เกิดจาก การดื่มน้ำมาก ทำงานในสภาวะอากาศที่เย็น ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีภาวะเครียด หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ

กลุ่มที่เป็นโรค แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1. ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวาน โรคเบาจืด

2. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง เช่น

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเกิดขึ้นหลังจากกลั้นปัสสาวะนาน ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย แสบขัด ไม่สุด ปวดท้องน้อย และอาจมีเลือดปนออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอักเสบอาจลุกลามไปที่กรวยไต ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ พบในผู้ชายมากกว่า ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะขัด ๆ ไม่พุ่ง หยุดสะดุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างปัสสาวะ เมื่อตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดแดง เอกซเรย์จะพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ พบบ่อยในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดเพียงอย่างเดียว โดย ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย แต่บางครั้งอาจมีปัสสาวะบ่อย แสบขัด ต้องอาศัยการตรวจรังสีวินิจฉัย หรือส่องกล้อง

กระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร หรือ โอเอบี เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยมาก อาจถึง 30 ครั้งต่อวัน กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะแต่ละครั้งออกไม่มาก บางรายอาจปัสสาวะไม่สุด ปวดท้องน้อยร่วมด้วย อาการดังกล่าวมักเป็นมานานแล้ว เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการทำงานที่ไวผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากนี้อาการปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะข้างเคียง ที่มีผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น นิ่ว ในท่อไตส่วนล่าง ท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียมท่อปัสสาวะ ฝ่อหลังวัยทองในผู้หญิง ต่อมลูกหมากโตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง และท้องผูกเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรค แพทย์จะอาศัยการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจรังสีวินิจฉัย หรือการตรวจด้วยวิธีพิเศษ

การรักษาอาการปัสสาวะบ่อยนั้น ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุ โรคบางชนิดทานยาก็หาย เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร แต่บางชนิดอาจจะต้องผ่าตัด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากที่เคยดื่มน้ำมาก ก่อนนอนก็ต้องงดหรือดื่มน้อยลง

ท้ายนี้ขอแนะนำ ว่า คนที่มีอาการปัสสาวะบ่อยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะรักษาแต่เนิ่น ๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคร้ายให้หายขาดอีกด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์
วันที่โพสต์ : 2009-02-12

วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง

วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง คือ ให้นำ “สารส้ม” มาถูรักแร้ตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ แล้ว หรือไม่ก็นำ “ ใบตำลึง ” กับ “ ปูนแดง ” โดยตำใบตำลึงให้เละที่สุด แล้วนำมาผสมกับปูนแดงสักก้อนเล็ก ๆ ผสมให้ทั่วกันดีแล้ว ก็นำมาทาที่รักแร้เพียงบาง ๆ แล้วปล่อยให้แห้งเอง ควรทำตอนอาบน้ำก่อนไปทำงานตอนเช้า จะได้ทำงานได้ตลอดวัน โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ออกมารบกวนใครต่อใคร
The image “http://61.7.221.112/ITActivityBlog/wp-content/uploads/2008/07/body3.jpg” cannot be displayed, because it contains errors.

ถ้าอยากหายจากการมีกลิ่นเต่าแรง ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้คะ.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์
วันที่โพสต์ : 2009-02-23

โรคที่มากับฤดูร้อน Summer

Summer

ฤดูร้อน(summer)ได้มาเยือนเราแล้ว เราต้องเตรียมตัวอะไรบ้างทางด้านสุขภาพ ประเด็นแรกคือต้องพยายามดื่มน้ำให้มากๆ เพราะร่างกายจะเสียเหงื่อมากในช่วงหน้าร้อน ถ้าร่างกายขาดน้ำ สมรรถภาพของร่างกายจะเสียไป จะออกกำลังกายได้ไม่ดีเท่ากับถ้าไม่ขาดน้ำ ทั้งๆ ที่อาจจะยังไม่รู้สึกหิวน้ำ

ปกติสุภาพสตรีจะมีโอกาสเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะ(Bladder) ไต(Renal) อักเสบ ได้ง่ายอยู่แล้ว เนื่องมาจากกายวิภาคของสุภาพสตรีที่ไม่เหมือนสุภาพบุรุษนั้น เอื้ออำนวยต่อการที่จะมีท่อทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย ฉะนั้นในหน้าร้อนสุภาพสตรียิ่งควรที่จะดื่มน้ำมากๆ ตลอดเวลา จนปัสสาวะมีสีใสตลอด และต้องไม่กลั้นปัสสาวะ
http://www.reh.go.th/web/clinic/bjoke03.jpg
ช่วงหน้าร้อนนี้ต้องป้องกันตาด้วยการใส่แว่นตากันแดด (ควรใส่แว่นตากันแดดเวลาแดดจัดตลอดทั้งปี) ถ้าไม่ระวังสายตาตอนยังเป็นหนุ่มสาว เมื่อมีอายุสูงขึ้นจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกได้ง่าย นอกจากนั้นยังควรทาครีมกันแดด ถ้าต้องออกไปอยู่กลางแดดนานๆ เช่น ตีกอล์ฟ ฯลฯ มิฉะนั้นผิวหนังที่ถูกแดดที่ร้อนจัดอาจจะแก่เร็วยิ่งขึ้น ผิวเหี่ยว มีการอักเสบง่าย และถ้าเป็นคนชาวผิวขาวอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งของผิวหนังมากยิ่งขึ้น

โรคที่มากับความร้อนมีมากมาย เช่น โรคที่มากับยุง แมลงวัน หรือมากับความชื้น เช่น โรคผิวหนัง สำหรับการป้องกันโรคผิวหนัง อยากให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นระยะ โดยเฉพาะกางเกงชั้นใน ถุงเท้า เวลาอาบน้ำควรเช็ดตัวให้แห้ง โดยเฉพาะที่ขาหนีบ รักแร้ ซอกนิ้วเท้าและมือ และอาจจะใช้แป้งด้วย เพื่อให้ผิวหนังแห้ง จะได้ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อรา

นอกจากนั้นคงต้องคอยดูแลกำจัดยุงและแมลงวัน สำหรับยุงขอเรียนย้ำไว้ว่าไข้เลือดออกนั้นเป็นได้ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะหน้าฝนเท่านั้น เป็นได้ทั้งกรุงเทพและชนบท เป็นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สมัยก่อนพบว่าเป็นในเด็กเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้พบได้ในผู้ใหญ่มากขึ้น ทุกๆ คน ทุกๆ บ้าน จึงต้องพยายามกำจัดยุง อย่าให้มีอ่างน้ำหรือภาชนะอะไรก็แล้วแต่ในบ้าน (นอกบ้าน) ของตนเองที่เก็บน้ำไว้ได้ เพราะจะเป็นแหล่งน้ำที่เพาะยุง!

ถ้าผู้ใหญ่เป็นโรคไข้เลือดออกการวินิจฉัยอาจจะยากกว่าในเด็ก และอาจจะวินิจฉัยได้ช้ากว่า โดยหลักทั่วๆ ไปถ้ามีไข้โดยไม่มีสาเหตุ เช่น เจ็บคอ ไอ ท้องเสีย ปัสสาวะอักเสบ (คือมีอาการปัสสาวะแสบ ขุ่นเป็นเลือด ฯลฯ) ฯลฯ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ การวินิจฉัยมักขึ้นอยู่กับการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจเลือดดูเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด สำหรับโรคไข้เลือดออก ช่วงเวลาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ช่วงที่ไข้เพิ่งลง ถ้าไข้ลงและผู้ป่วยสบายดีไม่น่าที่จะมีปัญหา แต่ถ้า ไข้ลงแต่ผู้ป่วยกระสับกระส่าย ต้องระวังสภาวะช็อก!

แมลงวันอาจทำให้อาหารมีเชื้อโรคซึ่งจะทำให้ท้องเสียได้ เราต้องระวังอาหารที่หุงต้มแล้วมาอุ่นรับประทานภายหลัง เพราะระหว่างที่ทำเสร็จแล้วอาจมีเชื้อโรคเข้ามาปนได้ และถ้าเอาอาหารนี้ไปรับประทานโดยไม่อุ่นอีกเลย เช่น พวกพาย หรือแกงต่างๆ หรืออุ่นแต่ไม่ร้อนพอ หรือร้อนนานพอที่จะฆ่าเชื้อโรค อาจจะทำให้อาหารเป็นพิษได้ จะทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ฯลฯ ได้

สำหรับอาหารทะเลโดยปกติมักมีความเสี่ยงของการมีเชื้อโรคอยู่แล้ว แต่มักจะมีโอกาสเป็นมากขึ้นในหน้าร้อน เพราะอาหารทะเลจะ เสียง่าย อาหารทะเลที่มักทำให้เกิดโรคได้ คือ หอย เช่น หอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่ และปู ฯลฯ ไม่ควรรับประทานดิบๆ ควรจะต้ม เผา นึ่ง ทอด ฯลฯ ให้สุกเสียก่อน ถ้าจะรับประทานดิบจริงๆ ต้องเลือกอาหารที่สดจริงๆ อาหารทะเลประเภทนี้อาจทำให้เกิดโรคไทฟอยด์ โรคท้องร่วงได้ รวมทั้งอหิวาต์ด้วย และโรคที่สำคัญ อีกโรคหนึ่งคือ โรคตับอักเสบชนิดเอ (และอี) ที่พบได้ในหอยต่างๆ

ถ้าคุณมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ควรดูว่ามีไข้หรือไม่ ถ้าถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด มีความรู้สึกว่าถ่ายอุจจาระไม่ค่อยสุด ควรไปพบแพทย์ ระหว่างที่กำลังไปหาแพทย์ ควรดื่มน้ำมากๆ ถ้าถ่ายท้องมาก เพลีย ควรดื่มน้ำเปล่าจนปัสสาวะใส หรืออาจดื่มน้ำสุก 1 แก้ว ต่อน้ำตาล 1 ช้อนชา และเกลือหยิบมือ หรือถ้ามีซองเกลือแร่ อาจใส่ 1 ซองต่อน้ำ 1 แก้ว ส่วนอาหารไม่ควรรับประทานอะไร ถ้ายังไม่หิว ถ้าหิวควรรับประทานข้าวต้ม ปลา ไข่ต้ม ฯลฯ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีมันมาก หรือมีกากมาก ที่สำคัญที่สุดที่ต้องรับประทานในช่วงนี้ คือ น้ำ ไม่ใช่อาหาร สาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคอหิวาต์คือการขาดน้ำ ถ้าให้น้ำเกลือเพียงพอผู้ที่เป็นโรคอหิวาต์ก็จะไม่เสียชีวิต

สำหรับโรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ และอี ในประเทศไทยมีแต่โรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (ส่วนชนิดบี และ ซี ก็มีด้วย แต่เชื้อชนิดบี หรือ ซี ติดต่อจากเลือด และผลิตภัณฑ์เลือด ซึ่งจะไม่ขอกล่าวในวันนี้) เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ พบได้ในหอยทะเล หรือในอาหารทั่วๆ ไป การติดต่อมักเป็นจากอุจจาระและเข้าทางปาก โดยสรุปถ้าอาหารทุกชนิดที่เข้าปากสะอาดก็จะไม่เป็นโรคนี้ การล้างมือให้สะอาดจึงเป็นการป้องกันที่สำคัญรวมไปถึงอาหารที่สะอาดด้วย

แต่การป้องกันตนเองด้วยการรับ-ประทานอาหารที่สุก สะอาด อาจกระทำได้ยาก ในกรณีที่เราออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยเฉพาะถ้าไปเที่ยว ทำงานในประเทศ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ฯลฯ ดังนั้นคุณอาจพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งการฉีดนั้นต้องฉีด 2 เข็มเท่านั้น

โรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เพลีย เบื่อบุหรี่ เบื่อเหล้า มีไข้ รู้สึกตึงๆ เจ็บๆ ที่บริเวณตับ (ชายโครงขวา) อาจเป็นอยู่ 2-3 วัน แล้วจึงจะมีอาการดีซ่านซึ่งก็คือตัวเหลือง และตาสีขาวกลายเป็นสีเหลือง เมื่อมีดีซ่านอาการไข้จะหายไป ช่วงนี้การตรวจเลือดดูการทำงานของตับจะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ดี ที่สุด ถ้าเป็นโรคนี้แต่ยังรับประทานอาหารได้ดีอาจพักรักษาตัวได้ที่บ้าน

ถ้ารับประทานอาหาร น้ำ ไม่ได้ควรได้รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลไปก่อน ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบายอยู่ประมาณ 1 เดือนแล้วจึงหาย แต่บางรายอาจใช้เวลาถึง 3 เดือน โรคนี้ส่วนใหญ่จะหาย มีน้อยรายมากที่จะเสียชีวิต และเมื่อหายจะหายขาด ไม่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนถึงโรคตับแข็ง หรือกลายเป็นมะเร็งของตับ ไม่เหมือนกับโรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี ที่อาจจะกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งของตับได้

ถ้าคุณต้องเดินทางไปประเทศที่กำลังพัฒนา ควรพยายามดื่มน้ำจากน้ำขวดที่มีฝาปิด หรือเครื่องดื่มกระป๋อง อาจจะต้องพิจารณาใช้ น้ำขวดล้างหน้า แปรงฟันด้วย พยายามหลีกเลี่ยงอาหารนอกโรงแรม รับประทานอาหารที่ร้อน หลีกเลี่ยงสลัด ผลไม้ที่ปอกแล้ว ถ้าจะ รับประทานผลไม้ควรรับประทานผลไม้ที่ปอกเองได้ เช่น กล้วย ส้ม ฯลฯ

หน้าร้อนนี้ขอให้คุณทุกคนดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีนะครับ อย่าลืมนะครับ “กันไว้ดีกว่าแก้ (รักษา) ปล่อยให้แย่แล้ว แก้ไม่ทัน!” ด้วยความปรารถนาดีครับ

ที่มา : นิตยสาร Health Today

อาหารรสจัด ไม่ถูกโฉลกผู้ป่วยโรคกระเพาะ Peptic ulcer

โรคกระเพาะ (Peptic ulcer) มีสาเหตุหลักมาจากกรด และน้ำย่อยอาหารที่หลั่งออกมาแล้วไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร และความบกพร่องของเยื่อบุกระเพาะที่ไม่สามารถต้านทานกรดได้ดี ส่วนสาเหตุรองลงมา หรือปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะหนักขึ้น คือ ภาวะความเครียด วิตกกังวล คิดมาก
นอนไม่หลับ อารมณ์หงุดหงิด
http://www.manageyourheartburn.com/images/endoscopy_peptic_ulcer.JPG
ปัจจัยส่งเสริมอีกประการหนึ่งคือ อุปนิสัยการรับประทานที่ไม่ดี เช่น การรับประทานอย่างรีบเร่ง รับประทานไม่เป็นเวลา อดอาหารบางมื้อ และการรับประทานสารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะ
และลำไส้ เช่น ดื่มน้ำชากาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลังที่มีสารกาเฟอีน(caffeine) มาก
การสูบบุหรี(tobacco) ดื่มเหล้า(alcohol ) เบียร์ (Beer) เป็นประจำ ยาบางชนิดก็ทำให้เกิด
โรคกระเพาะได้ เช่น ยาแก้ปวดจำพวกแอสไพริน(aspirin) ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ
ยาชุด หรือยาลูกกลอนที่มีสเตียรอยด์(steroid) การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่างๆ
ที่กล่าวมานี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้

ข้อปฏิบัติแรกสุดที่คนเป็นโรคกระเพาะ (Peptic ulcer) และเราทุกคนควรทำคือ รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เมื่อถึงเวลาควรหาอาหารรับประทานทันที เพื่อให้กรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาได้ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร แทนที่จะไปกัดทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ และในขณะรับประทานอาหารควรดื่มน้ำบ้าง เพื่อช่วยให้การบดเคี้ยวอาหารดีขึ้น และควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างมื้อ ให้ได้วันละ 8 -10 แก้ว

ปริมาณอาหารในแต่ละมื้อไม่ควรมาก เพื่อให้การทำงานของกระเพาะและลำไส้ ในการย่อยแต่ละครั้งไม่ทำงานหนักจนเกินไป คนเป็นโรคกระเพาะจึงอาจแบ่งเป็น 3 มื้อ และมีอาหารว่างระหว่างมื้อ เพื่อไม่ให้ท้องว่างนาน การรับประทานแต่ละครั้งก็ให้แต่พออิ่ม เมื่อหิวจึงรับประทานใหม่ แต่ไม่ควรรับประทานจุบจิบหรือถี่จนเกินไป นอกจากนี้หลังรับประทานอาหารแต่ละครั้ง ควรอยู่ในท่านั่งหรือยืนไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างดีที่สุด หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร
ก่อนนอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง

อาหารที่รับประทานควรครบหมวดหมู่ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย เคี้ยวอาหารให้ละเอียด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงจำพวกอาหารทอด อาหารผัดที่ใช้น้ำมันมาก สำหรับเนื้อสัตว์
ควรปรุงให้สุก เพราะเนื้อสัตว์ที่ดิบๆ สุกๆ จะย่อยได้ยาก เนื้อสัตว์จำพวก ปลา กุ้ง ไก่ จะย่อย
ได้ง่ายกว่า ระหว่างที่เป็นโรคกระเพาะจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสเต๊กชิ้นใหญ่ๆ

คนเป็นโรคกระเพาะควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นน้ำย่อย ได้แก่ อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
หวานจัด ของดอง น้ำอัดลม น้ำชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังที่มีสารกาเฟอีน อาหารที่แข็งหรือมีกากมาก ตลอดจนอาหารที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด อาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นเซลล์ให้ผลิตน้ำย่อยมากขึ้น

สำหรับผู้ที่นิยมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรงดหรือลดปริมาณการดื่มเหล้า(alcohol) เบียร์(Beer) ไวน์ลง และไม่ควรดื่มก่อนอาหารหรือขณะที่ท้องว่างอย่างเด็ดขาด เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร (Epithelium) คนเป็นโรคกระเพาะที่สูบบุหรี่ควรพยายามลดหรือเลิกสูบบุหรี่ เพราะทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายช้าลง และมีโอกาสเกิดเป็นแผลซ้ำใหม่ได้ง่ายกว่าคนไม่สูบบุหรี่

ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์

  ©Template Blogger Green by Dicas Blogger.

TOPO