Saturday, July 25, 2009

นักวิทย์ยิวปลูกถ่ายตับอ่อนหมูในหนูสำเร็จ อนาคตหวังใช้ในคน

อิสราเอลเผยผลงานวิจัย ปลูกถ่ายเนื้อเยื่อตับอ่อนของหมูในหนูสำเร็จ เนื้อเยื่อเจริญเติบโตได้ดี และสร้างอินซูลินได้ด้วย แต่ยังต้องวิจัยต่อถึงผลข้างเคียงระยะยาว หวังนำมาใช้กับคนในอนาคต

ศ.เยียร์ เรสเนอร์ (Prof. Yair Reisner) หัวหน้าภาควิชาภูมิคุ้มกันวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์เวซแมน (Weizmann Institute of Science) ประเทศอิสราเอล เปิดเผยผลงานวิจัยการปลูกถ่ายเซลล์ตับอ่อนของหมู เพื่อการรักษาเบาหวาน ในระหว่างการประชุมโครงการความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างประเทศไทยและอิสราเอล (Thai-Israeli Science and Technology Cooperation Project) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ก.ค.52 ที่ผ่านมา โดยทีมข่าววิทยาศาสตร์ศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้เข้าร่วมฟังด้วย
http://pics.manager.co.th/Images/552000008572801.JPEG
ศ.เรสเนอร์ และทีมวิจัยได้ทดลองนำเนื้อเยื่อตับอ่อนของหมู ไปปลูกถ่ายให้กับหนูทดลอง พบว่าเนื้อเยื่อตับอ่อนของหมูสามารถเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างอินซูลิน เพื่อรักษาอาการเบาหวานในหนูทดลอง SCID mice ได้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจสามารถพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาแก่มนุษย์ได้

อย่างไรก็ตาม ยัง ต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไปอีกถึงผลข้างเคียง ที่อาจเกิดขึ้นจากการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ ศึกษาการลดความเป็นพิษของการกดภูมิคุ้มกัน รวมถึงพัฒนาวิธีการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ ที่ใช้โดสของเนื้อเยื่อในปริมาณน้อยที่สุด

นอกจากนั้น ยังวางแผนที่จะขยายการวิจัยไปสู่การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อตับและม้ามด้วย เพื่อพัฒนาไปสู่การนำเนื้อเยื่อจากหมูมาใช้ปลูกถ่ายเพื่อรักษาโรคต่างๆ ในคนต่อไปในอนาคต

การนำเสนอผลงานวิจัยดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง ประเทศไทยและอิสราเอล ที่ได้รับการผลักดันโดยกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหวังจะสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างทั้งสอง ประเทศ และให้ประเทศไทยได้เรียนรู้แนวทางการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆของโลกอย่างอิสราเอล

ด้าน ดร.กีรวิชญ์ เพชรกุล นักวิทยาศาสตร์ไทย ที่เพิ่งกลับจากการไปทำวิจัยหลังปริญญาเอกในอิสราเอล 2 ปี และได้มาร่วมฟังการประชุมครั้งนี้ด้วย ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ว่างานวิจัยเรื่องการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อและอวัยวะในประเทศอิสราเอลก้าวหน้า มากในระดับโลก

อีก ทั้งในอนาคตมีความเป็นไปได้ ที่จะสามารถนำเนื้อเยื่อหมูมาปลูกถ่ายในคนเพื่อการรักษาโรคหรือซ่อม แซมอวัยวะ เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับของมนุษย์มากที่สุด แต่ก็ยังต้อง ศึกษาและพัฒนาอีกหลายขั้นตอนเพื่อยืนยันว่าสามารถใช้ได้จริงโดยไม่ส่งผลเสีย ต่อผู้ป่วย

ทั้งนี้ ดร.กีรวิชญ์ ได้ทุนไปศึกษาวิจัยหลังปริญญาเอกในสาขาชีววิทยาโมเลกุลและชีวเคมี ที่สถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ เนเกฟ (The National Institute for Biotechnology in the Negev) มหาวิทยาลัยเบน-กูเรียน แห่งเนเกฟ (Ben Gurion University of the Negev) เมืองเบียร์เชวา อิสราเอล โดยบอกกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศที่ก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์มาก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักศึกษากล้าคิดกล้าทำ ทำให้วิจัยค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และให้ทุนเรียนแก่นักศึกษาปริญญาโท-เอก ทุกคน

ทั้งยังมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดีมาก และหลังจากที่ได้ไปทำวิจัยในอิสราเอลแล้วก็ประทับใจมากกว่าก่อนหน้าที่จะไป ซึ่งหากมีโอกาสก็อยากจะไปศึกษาหรือดูงานที่อิสราเอลเพื่อนำความรู้กลับมาสู่ ประเทศไทย.

ที่มา manager.co.th

หวั่นไข้หวัด 2009 กลายพันธุ์ผสม “หมู-ไก่-คน” อันตรายสุด


ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ออกโรงเตือนเฝ้าระวัง 'เชื้อไวรัส' ของไข้หวัดใหญ่ 2009 สายพันธุ์ใหม่ H1N1มีโอกาสกลายพันธุ์ เพราะช่วงฤดูฝน อากาศหนาว เชื้อโรคมีอายุยืน อีกทั้งโดยธรรมชาติเชื้อไวรัส มักกลายพันธุ์อยู่แล้ว จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ด้านกรมปศุสัตว์ เตรียมมาตรการรับมือโรคไข้หวัดมรณะเข้มฟาร์มสัตว์ “หมู-ไก่” ทั่วประเทศ กำชับสัตว์แพทย์ประจำพื้นที่ดูแลใกล้ชิด หวั่นเชื้อไวรัสแพร่ระบาดสู่สัตว์ ด้าน “กรมสุขภาพจิต” แนะตื่นตัวได้ แต่ อย่าตื่นตระหนกกับข่าวมากนัก เพราะหากเครียดมากจนทำงานไม่ได้ น่าเป็นห่วงกว่า โรคไข้หวัดมรณะเสียอีก

ยังคงส่อแววรุนแรงไม่หยุด สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่มรณะที่แพร่ระบาดไปทุกทวีปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ชั่วระยะเวลาเพียง 4 เดือน มีผู้ป่วยติดเชื้อ หลังจากปรากฏข่าวรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกในเม็กซิโก ราวกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุดมีรายงานจำนวนประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโรคนี้แล้ว ประเทศ มีจำนวนผู้เสียชีวิต ราย

สำหรับประเทศไทยนั้น แม้ในระยะแรกๆ ไม่ปรากฏว่ามีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในประเทศ เพราะดูเหมือนจะควบคุม ป้องกันโรคดังกล่าวได้ แต่ล่าสุดสถานการณ์เปลี่ยนไปกลับกลายเป็นประเทศไทยที่มีอัตราเสี่ยงของ โรคอยู่ในอันดับต้นๆของประเทศในเอเชีย เพราะมีอัตราผู้ติดเชื้อกว่า 6,776 คน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคอีก 44 คน (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2552)

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์โรคหวัดมรณะดังกล่าวนี้ ยังได้ก่อให้เกิดกระแสวิตกกังวลกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในแวดวงผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด นักวิชาการด้านไวรัส และสัตวแพทย์ รวมถึงประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะความเสี่ยง การแพร่ระบาดของโรคที่ส่อเค้าจะมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นและไม่อาจควบคุมหรือ ป้องกันได้อย่างเบ็ดเสร็จ อันเนื่องจาก ปัจจัยด้านฤดูกาลในช่วงหน้าฝน จนถึงหน้าหนาวที่จะทำให้เชื้อไวรัสที่ชอบอากาศชื้นขยายพันธุ์ได้อย่างรวด เร็ว

ก.สาธารณสุข
เตือนระบาดหน้าฝน

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360 องศา” ว่า ตามปกติเมืองไทยช่วงฤดูฝน มักมีเชื้อไข้หวัดใหญ่ประจำปีอยู่แล้ว เมื่อมีโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาด ดังนั้นทำให้ต้องเผชิญกับโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งคนละสายพันธุ์ พร้อมกัน 2ด้าน อีกทั้ง ช่วงนี้อยู่ในระยะฤดูฝน ความชื้นสูง อุณหภูมิไม่ร้อนจัด เชื้อไวรัส มักแข็งแรงและมีอายุยืนนานกว่าปกติ ทำให้ โรคไข้หวัดใหญ่ทั้งสองสายพันธุ์ระบาดหนักมากในช่วงนี้

“ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่ไข้หวัดใหญ่มักระบาดอยู่แล้ว แต่เมื่อมีโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 จึงโดน2 เด้ง มีผู้ป่วยและปัญหาจากโรคมากขึ้น เหมือนเช่นประเทศอเมริกาที่ตอนนี้ต้องเจอกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ ล้วนๆ ซึ่งอเมริกาเองก็วิตกเหมือนกันในอีก 2-3 เดือนหน้าที่เป็นฤดูหนาวไม่น้อยกว่าเรา”

นพ.ทวี บอกว่า ผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัด 2009 ส่วนใหญ่ 60-70 เปอร์เซ็นต์เกิดจาก สาเหตุโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นก่อนที่เป็นโรคไข้หวัดมรณะ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดัน โรคปอด หรือโรคอ้วน ทั้งนี้ในแง่การระวังป้องกันโรคไข้หวัด 2009 ในช่วงเวลานี้คงไม่มีอะไรพิเศษมากนัก นอกเหนือจากมาตรการที่กำหนดไว้หลักๆ สำหรับประชาชนทั่วไป คือ การล้างมือตลอดทุกระยะของการแพร่ระบาดใหญ่ ปิดปากและจมูกขณะไอหรือจาม ป้องกันการติดต่อของโรค สำหรับผู้ติดเชื้อโรค มีการแยกตัวและดูแลที่บ้าน และงดกิจกรรมทางสังคมและการเดินทาง เป็นต้น

“'มาตรการระวัง ป้องกันในฤดูฝนยังเหมือนเดิม เพราะเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้เป็นโรคใหม่ ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นโอกาสเป็นโรคแต่ละคนเป็นจึงเท่ากัน แต่คนที่มีความเสี่ยงสูงถึงชีวิต คือ คนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เพราะถ้าร่างกายแข็งแรง กลไกภูมิคุ้มกันในร่างกายจะจัดการกับเชื้อโรคที่เข้าไปในร่างกายได้อยู่ แล้ว”

หวั่นกลายพันธุ์
ไข้หวัดมรณะ

อย่างไรก็ตาม จากปรากกฏการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดมรณะอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในขณะ นี้ ทำให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยชั้นนำ รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลสัตว์ อาทิ กรมปศุสัตว์ ได้เตรียมตัวรับมือโดยมีการเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัส นพ.ทวี กล่าวเสริมว่า สำหรับความเสี่ยงของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ที่จะกลายพันธุ์นั้น มีโอกาสเช่นกัน เพราะโดยธรรมชาติของเชื้อไวรัส มักกลายพันธุ์อยู่แล้ว ดังนั้น เชื้อไวรัสของไข้หวัดใหญ่ 2009 สายพันธุ์ใหม่นี้ก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ถึงฤดูหนาว อากาศชื้นและเย็น เชื้อไวรัส มักมีอายุยาวนานกว่าฤดูปกติหรือฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูที่เชื้อโรคมักอายุสั้น เมื่ออยู่ในอากาศ อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นเชื้อใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด ถึงความรุนแรงของโรคหากเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 กลายพันธุ์แล้ว

“ต้องติดตามกันต่อไปว่า มันจะกลายพันธุ์แล้วรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่ ในประวัติศาสตร์ราวปี 1977 เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งของไข้หวัดใหญ่รัสเซีย ซึ่งมีการกลายพันธุ์ แต่ในที่สุดก็อ่อนตัวลงหายไปเองในระยะเวลา 2-3 เดือน แต่เทียบไม่ได้กับตอนเกิดไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อหลายปีก่อนที่เกิดขึ้นและมีการระบาดอย่างรุนแรงมาก ดังนั้นจึงตามติดใกล้ชิดต่อไป”

กรมปศุสัตว์
หวั่นกลายพันธุ์สู่สัตว์
สั่งกำชับ-ดูแลฟาร์มเลี้ยงเข้ม


ทางด้าน อธิบดีกรมปศุสัตว์ นสพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมปศุสัตว์ได้ระวังป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่กำลังแพร่ ระบาดจากคนสู่คนอย่างมากในเวลานี้ อีกทั้งในต่างประเทศไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้ได้ระบาดไปสู่สัตว์ โดยเฉพาะหมูแล้ว ดังรายการข่าวที่ปรากฏเมื่อไม่นานนี้

ทั้งนี้ ในแวดวงปศุสัตว์จึงได้มีกำกับสัตว์ในพื้นที่กำกับดูแล ในจังหวัดที่มีการเลี้ยงสัตว์เช่น หมู ไก่ ทั้งในภาคตะวันออก จังหวัดใกล้เคียง นครปฐม ให้ความรู้และตรวจดูแลอย่างใกล้ชิด กรณีที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใด หากมีสัตว์ป่วยก็ต้องรีบแจ้งสัตว์แพทย์ในพื้นที่ใกล้เคียงทันที และให้ผู้เลี้ยงสัตว์ทั้งสองประเภท ทำความสะอาดสถานที่เลี้ยงเป็นประจำอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

“ตอนนี้ กรมปศุสัตว์เองก็หวั่นเหมือนกันว่า เชื้อไวรัสจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้อาจกลายพันธุ์จากคนมาสู่สัตว์ หมู-ไก่ จึงได้มีมาตรการระมัดระวังและป้องกัน สำหรับสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในความกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ โดยทางรัฐได้ให้งบประมาณสนับสนุนในงานนี้ 15 ล้านบาทแล้ว”

อย่างไรก็ดี ในวงการสาธารณสุขได้มีการหารือกันอย่างต่อเนื่องและสิ่งที่เป็นปัญหาที่สุด ในขณะนี้ที่แวดวงแพทย์ พยาบาล รวมทั้งกลุ่มสัตวแพทย์ ต่างวิตกกังวล ก็คือ หากเชื้อนี้มีการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างไข้หวัดนกที่เกิดกับไก่ ไข้หวัดหมูและและไข้หวัด 2009 เชื้อH1N1ในขณะนี้จะมีมาตรการรอบรับอย่างไร เพราะเชื้อว่าเชื้อนี้จะต้องรุนแรงกว่าสายพันธุ์ H1N1แน่นอน

“ปกติเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอยู่ตลอดเวลา และมีสัตว์หลายชนิดที่สามารถเป็นโรคนี้ได้ ดังนั้น โอกาสของการสัมผัสเชื้อ และเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคจึงมีโอกาสสูงไปด้วย และพบว่าเชื้อ H1N1ครั้งนี้ เกิดจากการกลายพันธุ์ของไวรัสเป็นสายพันธุ์ใหม่ ระหว่างเชื้อไวรัสที่อยู่ในสุกร นก และคน เข้าด้วยกัน ครั้งนี้เชื้อกระจายตัวอย่างรวดเร็ว หากเทียบกับไข้หวัดนก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือเชื้อ H1N1มักเกิดขึ้นในกลุ่มที่แข็งแรง” แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุ

กรมสุขภาพจิตแนะตื่นตัวได้
แต่อย่าตื่นตระหนก

การแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ในประเทศไทยมาจนถึงขณะนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้วนับร้อยราย ซึ่งในระยะเวลานี้การแพร่ระบาดก็ยังคงมีต่อไป ซึ่งได้สร้างความหวาดวิตกให้กับประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก

นพ.ทีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักสุขภาพจิตสังคม กรมสุขภาพจิตบอกว่า อย่าตื่นตระหนกกับกระแสข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ให้มากนัก และขอให้ติดตามข่าวสารให้รอบด้าน และอย่ามองเพียงแค่จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มมากขึ้น โดยหากปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และป้องกันตนเองให้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปวิตกกังวลต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค ที่จะส่งผลให้ตัวเองเกิดความไม่สบายใจ และเกิดความเครียดขึ้นได้ ขอให้ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ

อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตัวเอง คนในครอบครัวให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ ไม่ตื่นตระหนกกับข่าวสารมากจน ทำให้เกิดความเคียดจนไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติเป็นสิ่งที่ น่าห่วงมากกว่าโรคระบาดเสียอีก

“จากที่ผมติดตามข่าวสารทำให้รู้ว่านักวิทยาศาสตร์จากโลกต่างก็วิตก ว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้อาจจะมีการปรับเปลี่ยนตัวเองให้มีความร้ายแรงขึ้น ซึ่งเราในฐานะคนที่ต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ก็ต้องเตรียมตัวรับมือไว้เช่นกัน กล่าวคือต้องพยายามติดตามข่าวสารข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดให้เกิดการตื่นตัวแต่อย่าตื่นตระหนกเด็ด ขาด ก็จะสามารถพ้นจากโรคระบาดนี้ได้” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

  ©Template Blogger Green by Dicas Blogger.

TOPO